"ไพร์ม โรด เพาเวอร์" กางแผนภายในปี 2567 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า เดินหน้าลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั่วเอเชียไม่น้อยกว่า 800MW หรือมีกำลังการผลิตเติบโตขึ้นกว่า 2.6 เท่าจากปัจจุบัน ตั้งเป้าหมายระยะยาว 5 ปีข้างหน้าเติบโตราว 500% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน ขณะในแต่ละปีคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นราว 200-400MW
นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจอาจมีความล่าช้าในการรับรู้รายได้อันเป็นผลมาจากการระบาดของสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ณ วันนี้ สถานการณ์ต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นแล้ว บริษัทมั่นใจว่าจะกลับมาดำเนินการตามเป้าหมายระยะกลางที่เคยวางแผนไว้ นั่นคือ ภายในปี 2567 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทจะลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย ไม่น้อยกว่า 800MW หรือมีกำลังการผลิตเติบโตขึ้นกว่า 2.6 เท่าจากปัจจุบัน และเป้าหมายระยะยาว 5 ปีข้างหน้าเติบโตราว 500% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน โดยแต่ละปีคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นราว 200-400MW
"โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน PRIME เริ่มจากโปรเจกต์ที่มีขนาดเล็กก่อน และเมื่อมีความมั่นใจมากขึ้นจึงขยับเป็นโปรเจกต์ที่มีขนาดใหญ่ กำลังการผลิตรวม 55.3 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก COD เรียบร้อยแล้ว จำนวน 20.5 เมกะวัตต์ และส่วนที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างจำนวน 34.8 เมกะวัตต์ และในประเทศกัมพูชา"
โดย PRIME ได้เข้าไปทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งชาติ (National Solar Park) ที่มีธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) เป็นที่ปรึกษาโครงการ มีกำลังผลิต 77 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตตามสัญญา 60 เมกะวัตต์ ณ ปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือน สิงหาคม) การก่อสร้างมีความคืบหน้าตามแผนงาน 75% โดยอุปกรณ์หลักทั้งหมด เช่น Tracking system, Inverter, Box Transformer และ PV modules ทยอยขนส่งถึงโครงการแล้วในตอนนี้เพื่อทยอยติดตั้งควบคู่ไปกับงานก่อสร้างและส่วนอื่นๆ ซึ่งภาพรวมการก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานเพื่อเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาสที่ 4/2565
นายสุรเชษฐ์ ชัยปัทมานนท์ รองกรรมการผู้จัดการสายการเงินและการบัญชี PRIME เผยว่าสำหรับงวด 6 เดือน (สิ้นสุด มิ.ย.65) มีรายได้รวมอยู่ที่ 395.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 97.1 ล้านบาท ซึ่งจากการที่ธุรกิจของบริษัทมีลักษณะเป็นการรับรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาระยะยาว ทำให้รายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับสาเหตุรายได้ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีจำหน่ายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้ไม่มีรายได้จากโครงการดังกล่าวในปีนี้ การจำหน่ายโครงการดังกล่าวทำให้บริษัทได้รับเงินลงทุนเพิ่มในโครงการอื่นๆ ซึ่งคณะกรรมการเล็งเห็นแล้วว่าจะทำให้ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาวมีความมั่นคงและมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต