"ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป" เชื่อการให้บริการ CRM (Customer Relationship Management) และ CXM (Customer Experience Management) จะช่วยติดปีกให้องค์กรธุรกิจในไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 แตะ 900-950 ล้านบาท ตอกย้ำการเป็นผู้นำที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย
นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ iiG เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ สามารถทำรายได้ New High อย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 ไตรมาสติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นว่าการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขององค์กรธุรกิจในประเทศไทยนั้นยังคงมีดีมานด์ที่สูงมากขึ้น เนื่องด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรธุรกิจต่างเร่งมือปรับกลยุทธ์ และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในเศรษฐกิจโลก จึงทำให้ iiG และกลุ่มบริษัทในเครือนั้นมีปริมาณงานและรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ และบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ในปี 2565 ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 900-950 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตขึ้น 30-38% และสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยเริ่มแรกจะมุ่งหาการลงทุนในบริษัทที่มีความสอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญในประเทศนั้นๆ
สำหรับแผนการเติบโตของธุรกิจด้าน CRM หลังจากที่บริษัทฯ ได้ให้บริการนี้แก่องค์กรธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ในปีนี้เราได้ยกระดับการให้บริการด้าน CRM ให้ตอบโจทย์ทางธุรกิจแก่องค์กรธุรกิจมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยได้ร่วมมือกับ Sitecore เทคโนโลยีพาร์ตเนอร์ระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้นำด้านซอฟต์แวร์บริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า (CXM หรือ Customer Experience Management) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างประสบการณ์ทางการตลาดให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการข้อมูลเชิงลึก พร้อมวิเคราะห์และนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้า โดยไม่เพียงแต่นำ Big Data มาวิเคราะห์เพื่อใช้กำหนดกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น แต่เราจะยกระดับการเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น ซึ่งจะสามารถสร้างการเติบโตให้องค์กรที่ใช้บริการอย่างก้าวกระโดด
สำหรับภาพรวมตลาดซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันสำหรับองค์กรในระดับโลกในปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่ามูลค่าของตลาดคลาวด์ซอฟต์แวร์ (Cloud Software) แอปพลิเคชันได้มีขนาดใหญ่กว่าตลาดที่ไม่ใช่คลาวด์ (Non-Cloud) เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำงานที่บ้าน (Work from Home) จนเกิดเป็น New Normal ที่พนักงานขององค์กรต้องการเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา (Access Anywhere, Anytime) จึงทำให้คลาวด์ซอฟต์แวร์ (Cloud Software) สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีมากกว่า
นอกจากนี้ การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลกได้มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ขนาดตลาดคลาวด์ซอฟต์แวร์ (Cloud Software) จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากมูลค่าตลาดปัจจุบัน โดยมูลค่าการใช้จ่ายในกลุ่มซอฟต์แวร์ระดับองค์กรปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 11% เนื่องจากองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับ การอัปเกรดชุดซอฟต์แวร์เป็น software-as-a-service (SaaS) เพื่อรองรับความยืดหยุ่นและความคล่องตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับในประเทศไทยซอฟต์แวร์ระดับองค์กรจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการใช้จ่ายเติบโตสูงที่สุดในปี 2565 โดยเพิ่มขึ้น 14.8% จากปี 2564
"จะเห็นได้ว่าสภาวะตลาดและอุตสาหกรรมของซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลก ซึ่งมีการเติบโตสูงสุดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และพฤติกรรมความต้องการใช้งานที่เปลี่ยนไปจนเกิด New Normal และไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ทุกกลุ่มธุรกิจนั้นต่างมีความต้องการที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรทั้งสิ้น เราจึงมั่นใจว่าจะได้รับแรงหนุนจากสภาวะตลาดที่มีความต้องการสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มของเทคโนโลยีระดับโลกอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวให้ทันต่อตลาดโลกและมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์และครอบคลุมการดำเนินงานของลูกค้าองค์กรธุรกิจ ตั้งแต่ระบบหลังบ้าน (ERP) ระบบหน้าบ้าน (CRM) ไปจนถึงจุดที่ธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า (CXM) โดยมีรูปแบบการให้บริการที่ครบวงจร เพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่กลุ่มบริษัทฯ" นายสมชาย กล่าว