สมาร์ทคอนกรีต เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 65 รายได้รวม 265.92 ล้านบาท โต 13.10% ขณะที่กำไรสุทธิ 11.22 ล้านบาท โครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ โครงการ EEC เร่งเดินหน้างานภาคเอกชน ขานรับ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวฟื้น หนุนความต้องการอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่ม แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 3/65 เร่งเก็บงานโครงการแนวราบ-แนวสูงโซนภาคตะวันออกเพิ่ม
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร รวมถึงงานตกแต่งภูมิทัศน์ เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งแรกปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 265.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 235.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.10% และมีกำไรสุทธิ 11.22 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.63 ล้านบาท หรือลดลง 52.50%
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 128.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 111.21 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.29% และมีกำไรสุทธิ 2.89 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.10 ล้านบาท หรือลดลง 68.25%
ทั้งนี้ ผลประกอบการในส่วนของรายได้ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น งานโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานราชการ อาคารสำนักงานศาลยุติธรรม อาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ งานโครงการรถไฟฟ้า งานอาคารโรงพยาบาล โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เร่งลงทุนเพื่อให้การก่อสร้างเสร็จตามแผน เช่น นิคมอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน อาคารที่พักอาศัยโดยรอบ และการสร้างบรรยากาศและภูมิทัศน์ภายในพื้นที่โครงการ
อีกทั้งนโยบายการเปิดประเทศ กระตุ้นให้ธุรกิจภาคบริการ การท่องเที่ยวเร่งปรับปรุง ต่อเติม เช่น โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า และผู้ประกอบการภาคอสังหาฯ กลับมาเปิดดำเนินการโครงการทั้งแนบราบ-แนวสูง ส่งผลให้ความต้องการอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่งอยู่ในระดับที่ดี ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวลดลง เนื่องจาก ต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบในการผลิตยังคงปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 3/65 บริษัทเร่งเดินหน้าขยายฐานลูกค้างานโครงการแนวราบ และแนวสูง ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่มีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้น และมีความต้องการใช้งานอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งเน้น กลยุทธ์การตลาด O2O ขยายช่องทางจำหน่ายกลุ่มร้านค้ารายย่อย และโมเดิร์นเทรดครอบคลุมทั่วประเทศ ขยายฐานลูกค้า กลุ่มสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย เจ้าของบ้าน จัดกิจกรรมทางการตลาดแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง
“อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทยังคงเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่ปรับตัวอยู่ในระดับสูง โดยมุ่งเน้นปรับกลยุทธ์ปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการต้นทุนการผลิต รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถการทำกำไร อีกทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่ง และ อิฐมวลเบาเพื่องานโครงสร้าง ให้ตอบโจทย์ความต้องการงานก่อสร้างยุคใหม่ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ลดต้นทุน ช่วยให้การก่อสร้างเสร็จรวดเร็ว ผลักดันยอดขายให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้” นายรังสี กล่าว