นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่ายังคงมีความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงอยู่ รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และนโยบายการเงินของเฟดที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดที่ระดับ 0.75% จะยังมีการปรับขึ้นในอัตราที่เข้มข้นต่อไปเพื่อสกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจากสถิติการปรับขึ้นอัตราดอกบี้ยในระดับสูงของเฟด 11 ใน 14 ครั้ง ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมา ซึ่งในครั้งนี้มีความกังวลเช่นกัน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในครั้งนี้มาจากฝั่งอุปทาน และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อการใช้จ่ายประชาชนให้ลดลง
"ปัญหาเงินเฟ้อหลักๆ มาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และปัญหาคอขวดอุปทานที่ยังมีอยู่ แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการลดเงินใช้จ่ายในมือของประชาชน จะทำให้เป็นห่วงว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่ต้นตอปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้ถูกแก้ ซึ่งจริงๆ แล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองอาจจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วก็เป็นได้ สะท้อนได้จากภาวะตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้นที่เข้าสู่ภาวะซบเซา แสดงให้เห็นว่าการคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าจะดี อัตราเงินเฟ้อทรงหรือชะลอหรือยัง เชื่อว่าในช่วง 2 เดือนนี้น่าจะเห็นภาพที่ชัดขึ้น และหลังจากนั้น ต้องมาดูว่าเฟดอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายที่เข้มข้นนี้หรือไม่"
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปีนี้คาดว่าจะเกิดขึ้น 2 ครัง โดยครั้งแรกในการประชุมเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เพื่อรอประเมินสถานการณ์หลังจากปรับขึ้นก่อน เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้งมีต้นทุนที่ต้องเสีย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนภาคธุรกิจ ภาครัฐ หรือภาคครัวเรือน แต่หากปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นเรื่อยๆ มีผลเสียเช่นกัน และหากจะต้องปรับขึ้นน่าจะเป็นช่วงการประชุมในเดือนพฤศจิกายนอีกครั้ง ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้น่าจะส่งผลดีต่อค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มองว่าการอ่อนค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราเข้มข้น และมีแนวโน้มที่จะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงระดับ 3.50% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ รวมถึงการที่ประเทศอื่นได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาระยะหนึ่งแล้ว ไทยก็จำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นตาม เพื่อลดช่องว่าง และรักษาเสถียรภาพของเงินบาท โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนไปอีกระยะหนึ่งและมีจุดอ่อนสุดที่ประมาณ 36.00 บาทต้นๆ หรือเมื่อเฟดมองว่าไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวแล้ว และประเมินว่าช่วงปลายปีเงินบาทมีโอกาสที่เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวดีกว่าเดิม ส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น
อย่างไรก็รตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปียังมีปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่มีภาพของการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย 4 เดือนแรกของปีที่เกือบ 800,000 ราย จากเดือนสิ้นสุดเดือนเมษายนปีก่อนมียอดเพียง 8,000 คน และอาจจะได้รับอานิสงส์จากฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรปที่จะมาเมืองไทยมากขึ้นเพื่อหนีฤดูหนาวที่ยังมีปัญหาเรื่องพลังงานเชื้อเพลิง ดังนั้น จึงมองว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่สามารถเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจชดเชยภาคการส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3.4% ในปีนี้ แต่การฟื้นตัวยังคงเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังไม่เท่าเทียมกัน ประกอบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย ได้แก่ นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับเข้ามา จึงต้องมีการปรับตัวอีกระยะหนึ่ง
"สถานการณ์ปัจจุบันต่างจากปี 2540 ปัจจุบันเรามีฐานเป็นเจ้าหนี้ ไม่ใช่เป็นลูกหนี้ เงินสำรองทางการยังมีควาามแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่สำคัญคือจะต้องใช้อย่างเหมาะสม และใช้อย่างชาญฉลาด เพราะหากเข้าไปดูแลมากอาจจะทำให้ผู้ประกอบการปัดภาระให้ทางการรับผิดชอบอย่างเดียว การดูแลที่ ธปท.ทำอยู่หลักๆ คือไม่ให้ค่าเงินมีความผันผวนมากเกินไป ซึ่งหากดูค่าความผันผวนปัจจุบัน ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากเกาหลี อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อโดยตรง เพราะไม่ได้ไปทำให้สงครามจบแล้วราคาน้ำมันลด แต่จะเป็นการดูแลค่าเงินบาทในอีกทาง และอาจจะเหมาะสมกว่าการใช้ทุนสำรองดูแลค่าบาทไปเรื่อยๆ อย่างในปัจจุบัน"