ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง -14.50 จุด โบรก ฯ ชี้ ดัชนีทรุดตามภาพรวมภูมิภาค จากแรงเทมขายหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มสถาบันการเงินและหุ้นกลุ่มค้าปลีก แนะจับตาท่าทีถ้อยแถลงของประธานเฟดคืนนี้ ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้ อาจมีโอกาสย่อตัวลงต่อ พร้อมให้แนวรับที่ 1,540 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,565 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ปรับตัวลดลง -14.50 จุด หรือ -0.92% โดยปิดตลาดที่ 1,560.02 จุด มูลค่าการซื้อขาย 68,260.93 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลงตลอดวัน โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดกที่ 1,572.66 จุด ขณะเดียวกันก็ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,551.42 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 386 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 344 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 1,433 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +3,183.54 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +736.46 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -3,585.56 ล้านบาท และ บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -334.43 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,612.77 ล้านบาท ปิดที่ 158.00 บาท ลดลง 5.00 บาท
2.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,035.26 ล้านบาท ปิดที่ 33.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
3.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,673.97 ล้านบาท ปิดที่ 198.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
4.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,544.91 ล้านบาท ปิดที่ 133.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
5.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,497.44 ล้านบาท ปิดที่ 59.00 บาท ลดลง 1.00 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.EGCOปิดที่ 175.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ 1.74%
2.CBGปิดที่ 106.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 1.44%
3.SCCปิดที่ 364.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 0.28%
4.SCGPปิดที่ 53.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 1.44%
5.BCPปิดที่ 31.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.64%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1. PTTEPปิดที่ 158.00 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ 3.07%
2.SCBปิดที่ 102.00 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 2.86%
3.ADVANCปิดที่ 198.00 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 1.49%
4.HANAปิดที่ 39.75 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 5.92%
5.BBLปิดที่ 133.00 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 1.85%
ส่วนดัชนี SET100 ปิดที่ 2,150.83 จุด ลดลง -20.96 จุด หรือ -0.97% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 945.80 จุด ลดลง -8.91 จุด หรือ -0.93% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 598.99 จุด ลดลง -7.11 จุด หรือ -1.17%
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.โอยูบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยและเอเชียช่วงบ่ายปรับลงแรง เนื่องจากตลาดรอติดตามนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาคืนนี้ ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน พ.ค.พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดัน เพราะอาจทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย
วันนี้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากเอเชีย เพราะกังวลภาพเศรษฐกิจทั่วโลกมีความเสี่ยงและมีโอกาสถดถอยสูงขึ้น โดยค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลง ส่วนของไทย ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลต่ำกว่าสหรัฐฯ ทำให้มีแรงขายออกจากตลาดพันธบัตร ช่วงสั้นจะเห็นภาพตลาดเพิ่มความระมัดระวัง ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ตลาดนิ่งได้ คือ ทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ทำให้เห็นว่าจะไม่เกิดภาวะถดถอย
ในช่วงสั้น กลุ่มพลังงานกลับทิศทางจากเดิมน้ำมันเคยเป็นกลุ่มที่สามารถป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ คนกังวลเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อสูง ทำให้ไม่กล้าถือหุ้นพลังงาน ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันดิบชะลอตัวลงสั้นๆ ทำให้เห็นแรงขายกลุ่มพลังงาน รวมถึงธนาคารและกลุ่มค้าปลีก อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังเห็นแรงเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน เช่น กลุ่มส่งออกอาหาร รวมถึงกลุ่มที่มีต้นทุนน้ำมันสูง อย่าง SCC, SCGP, PTTGC และกลุ่มเปิดเมือง ที่สามารถทยอยซื้อได้จากภาพผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้นในหลายไตรมาสข้างหน้า
ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้ ตลาดหุ้นมีโอกาสย่อตัวลง ขึ้นกับถ้อยแถลงของประธานเฟดคืนนี้ที่จะทำให้เชื่อได้หรือไม่ว่าสหรัฐจะไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยให้แนวรับที่ 1,540 จุด แนวต้านที่ 1,565 จุด