xs
xsm
sm
md
lg

กรุงไทยคาดบาทอ่อนระยะสั้น ปลายปีรับแรงหนุนท่องเที่ยวฟื้น ชูธุรกิจไฟฟ้าหมุนเวียนรับราคาพลังงานพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า แนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าลงแตะระดับกว่า 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรืออ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนในตลาดสูงแทบจะทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดทุน ตลาดตราสาร หรือแม้แต่ในดิจิทัล แอสเสทต่างๆ แต่เรามองว่าภาวะการอ่อนค่าของเงินบาทดังกล่าวจะเป็นปัจจัยในระยะสั้นในช่วง 15 วันถัดจากนี้ไป เงินบาทจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 34.00 ปลายๆ ไปถึง 35.00 กลางๆ ซึ่ง ณ ระดับเงินบาทปัจจุบันที่ 35.30 บาทกว่าๆ ต่อดอลลาร์สหรัฐยังอาจจะอ่อนค่าลงได้อีกเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงปลายไตรมาส 3 เงินบาทมีแนวโน้มจะกลับมาแข็งค่าได้ หลังจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวมากขึ้น โดยจากคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่ประมาณ 5 ล้านคน ค่าใช้จ่ายต่อคนที่ 5-6 หมื่นบาท จะมีรายได้เข้ามาประมาณ 300,000 ล้านบาท เทียบกับครึ่งปีแรกที่ยังมีเงินจากส่วนนี้เล็กน้อย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น แม้จะไม่มากแต่น่าจะพยุงให้อยู่ในระดับเหนือ 35 บาทได้ ขณะที่มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จะต่ออายุหรือมีมาตรการเพิ่มเติมออกมาถือว่าส่งผลดีต่อภาวะโดยรวมมากขึ้น ในสภาวะที่เศรษฐกิจนอกประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อียู จีน เข้าสู่โหมดชะลอตัว

สำหรับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น อันเกิดจากภาวะสงคราม ซึ่งจะมีความยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น ทั้งในส่วนของผู้บริโภคจะต้องมีการปรับตัวในเรื่องของการประหยัดพลังงานให้มากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างด้านพลังงานของประเทศไทย อย่างการผลิตกระแสไฟฟ้า 50% จะใช้ก๊าซ และ 10% มาจากถ่านหินที่มีราคาแพง ขณะเดียวกัน ในฝั่งของผู้ที่กำกับดูแลในเรื่องของพลังงานจะต้องมีการปรับตัวเช่นกัน โดยปรับโครงสร้างพลังงานที่พึ่งพาก๊าซ น้ำมัน หรือถ่านหินที่มีราคาสูง มาส่งเสริมให้ใช้พลังงานทางเลือกทดแทน อย่างพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ เป็นต้น

**ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเติบโตดี**
นายพชรพจน์ กล่าวอีกว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ มีทิศทางขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากภายหลังการประชุม COP 26 ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ วิกฤตพลังงานในปัจจุบันที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ทำให้หลายประเทศ รวมถึงไทยมีความกังวลด้านความมั่นคง และราคาพลังงาน โดยเร่งทบทวนแผนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อทดแทนไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งในปี 2021 ทั่วโลกมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะที่ 1.4 แสนเมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้มาจากเอเชียมากที่สุดราว 39% ของกำลังการผลิตของโลก และในช่วงปี 2021-2025 กำลังการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโต 5.7%ต่อปี

“วิกฤตพลังงานโลกที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ จะกดดันให้ราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการผลิตไฟฟ้าโดยรวมในไทยยืนอยู่ในระดับสูงนาน ดังนั้น การหันไปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาต้นทุนรวมของการผลิตไฟฟ้าในไทยได้ ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในไทยมีต้นทุนสูงถึง 3.3 บาท/หน่วย ขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ อยู่ที่เพียง 0.7-2.3 บาท/หน่วย เท่านั้น”

น.ส.นิรัติศัย ทุมวงษา นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ธุรกิจประเภทนี้มีแนวโน้มเติบโตดีจากการสนับสนุนของภาครัฐมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งสะท้อนจากแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ขยายตัวที่ 6% ในช่วงปี 2021-2037 โดยในปี 2037 ซึ่งเป็นปีที่สิ้นสุดแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ภาครัฐตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 7,077 เมกะวัตต์ เนื่องจากไทยมีศักยภาพด้านวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลักของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ

“อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้ามองว่าภาครัฐจะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ VSPP มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งริเริ่มโครงการเฟสแรกเมื่อปี 2019 เพื่อให้ตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างเต็มที่และสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทั่วทุกพื้นที่ในไทยในระยะข้างหน้า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังมีครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ถึง 57,440 ครัวเรือน อีกทั้งโครงการดังกล่าวช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนด้วย เนื่องจากจะต้องใช้วัตถุดิบหรือวัสดุเหลือใช้จากในชุมชนเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า”

นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเสริมว่า จำนวนโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะขนาด VSPP ในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2021-2026) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกราว 430 แห่ง ในจำนวนนี้แบ่งเป็นชีวมวลจำนวน 54 แห่ง ชีวภาพ 236 แห่ง และขยะ 140 แห่ง ตามลำดับ เมื่อพิจารณาศักยภาพและปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและขยะที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าหมุนเวียนแต่ละประเภทร่วมด้วย พบว่าโรงไฟฟ้าชีวมวลโดยรวมมีทรัพยากรวัตถุดิบที่มากเพียงพอสำหรับผลิตไฟฟ้าตามเป้าหมายของแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ขณะที่ โรงไฟฟ้าชีวภาพและโรงไฟฟ้าขยะ ปัจจุบันมีเชื้อเพลิงที่มีศักยภาพไม่เพียงพอถึงปี 2037 ดังนั้น ผู้ที่สนใจจะสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวจึงควรเตรียมความพร้อมด้านเชื้อเพลิงจากทั้ง 2 กลุ่มนี้

“การลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล-ชีวภาพ-ขยะ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าในกลุ่มนี้มีการปล่อยฝุ่นละออง ขี้เถ้า เขม่า และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าในไทยได้แก้ปัญหาดังกล่าวโดยการนำเอาเทคโนโลยีการดักจับฝุ่นละอองมาใช้เพื่อควบคุมปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 และเขม่าให้เป็นตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว”

ส่วนในระยะข้างหน้าคาดว่ากฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ในโรงไฟฟ้าในไทยไม่สามารถดักจับได้ ดังนั้น อาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ อย่าง carbon capture ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนสูงมาก จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น