บลจ.บางกอกแคปปิตอล (BCAP) ประเมินตลาดหุ้นครึ่งหลังของปี 65 ยังผันผวนปัจจัยเสี่ยงยังสูง กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการ รวมทั้งเฟด (Fed) ยังปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ พร้อมกับปรับลดวงเงินคิวอี แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลาย โดยชูตลาดหุ้นจีนและไทย มีความน่าสนใจเหตุปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศน้อย
นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน BCAP กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทีมผู้จัดการกองทุนมองว่าเป็นเพียงการรีบาวน์หรือปรับขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจาก ทีมผู้จัดการกองทุน BCAP ประเมินว่าในปี 65 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.50-2.75% ถือเป็นการเหยียบเบรคอย่างหนัก ซึ่งจะเป็นผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลงในระยะต่อไป
ทีมผู้จัดการกองทุน มองว่า การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดเพื่อเข้าควบคุมเงินเฟ้อ สืบเนื่องจากมุมมองที่ผิดพลาดในช่วงปีที่ผ่านมา ที่ประเมินว่าเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว จนละเลยที่จะควบคุมเงินเฟ้อตั้งแต่ช่วงปี 64 แม้ว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ฯ จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือน มี.ค. และจะค่อย ๆ ปรับลดลงในช่วงที่เหลือของปี แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเฟดคงจะยืนยันขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บกระสุนหรือเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในอนาคต อีกประเด็นที่ BCAP จับตาอย่างใกล้ชิดคือการถอนสภาพคล่องออกจากระบบ หรือการทำ Quantitative Tightening (QT)
นายธนาวุฒิ กล่าวว่า การทำ QT ของสหรัฐฯ จะเริ่มต้นในเดือน มิ.ย. นี้ในจำนวน 9.5 แสนล้านเหรียญฯ ต่อเดือน ทีมผู้จัดการกองทุนประเมินว่าหากเฟดลดปริมาณเงินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปี 66 จะส่งผลต่องบดุลต่อ GDP ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ลดลงจาก 37% ในปัจจุบันเหลือเพียง 20% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมี 2 เรื่องหลัก ๆ คือ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และ 2) แรงสนับสนุนในการออมเงิน/การลงทุนในตลาดการเงินที่จะลดลง
ฝ่ายวิจัยมองว่าช่วงต่อไปตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นจะลดลงเทียบกับช่วงที่เฟดอัดฉีดสภาพคล่องหลังวิกฤตการเงินใน ค.ศ.2008 ซึ่งการลงทุนอาจจะใช้ความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งหลังของปีฝ่ายวิจัยแนะนำให้เน้นการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าพื้นฐานถูก ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตดี และ/หรือ มีความเสี่ยงต่อการเมืองระหว่างประเทศจำกัด คือประเทศจีนและไทย
"หลังมีแรงเทขายกดดันราคาหุ้นจีนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการ Lock Down ในเมืองสำคัญ ๆ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้หุ้นจีนมีราคาพื้นฐาน (Valuation) ที่ถูกเทียบกับทั้งอดีตและประเทศอื่น แต่ล่าสุดมีสัญญาณการเปิดเมืองพร้อมการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ทำให้เราประเมินว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 นี้ ขณะที่หุ้นไทยอาจจะมี Valuation ที่ค่อนไปทางแพงเล็กน้อยเนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ช่วงต้นปี "นายธนาวุฒิ กล่าว
นายธนาวุฒิ กล่าวว่า ในแง่นโยบายการเงิน ประเทศไทยยังมีแนวโน้มผ่อนคลายเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐฯ และ ยุโรป อีกทั้งมีแรงส่งจากปัจจัยนอกประเทศ เช่น การส่งออกและนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาจากการเปิดประเทศจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี อีกทั้งผลกระทบโดยตรงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีค่อนข้างต่ำ จากนโยบายเป็นกลางของไทย นักลงทุนต่างชาติจึงมองเราเป็นหลุมหลบภัยและจะมี Fund flow ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้นการลงทุนในประเทศจีนและไทยน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้