อินโดรามา เวนเจอร์ส แจ้งผลงานไตรมาสแรกกวาดรายได้รวมจากการขาย 4,444 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจทั่วโลก และมี EBITDA 784 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะ Core EBITDA เพิ่มขึ้นทุกสายธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 14,070 ล้านบาท
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ว่า Core EBITDA ในไตรมาสแรกที่ 650 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหรือร้อยละ 77 เมื่อเทียบปีต่อปี และมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบปีต่อปี เป็น 3.80 ล้านเมตริกตัน ธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มของ IVL เติบโตจากตำแหน่งผู้นำระดับโลกของบริษัทฯ ที่ส่งผลให้ IVL ได้รับประโยชน์โดยรวมที่ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น อัตราค่าระวางสินค้าทางทะเลที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นจากอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวและการเคลื่อนย้ายทั่วโลก
โดยไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้รวมจากการขาย 4,444 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบปีต่อปี และมี EBITDA 784 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 เมื่อเทียบปีต่อปี และ Core EBITDA 650 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบปีต่อปี เป็น 3.80 ล้านตัน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 14,070 ล้านบาท และกำไรหลักสุทธิ 10,578 ล้านบาท ส่วน Core EBITDA Margin ร้อยละ 15 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) ของ IVL ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่มีราคาสูง เนื่องจากความได้เปรียบของ Shale Gas ช่วยสนับสนุนอัตรากำไรของผลิตภัณฑ์ MTBE และ MEG อัตราค่าระวางสินค้าทางทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ PET และ Fibers ได้รับประโยชน์ เนื่องจากราคานำเข้าที่เท่าเทียมกันในตลาดตะวันตกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณสองในสามของกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ฝ่ายบริหารมีการตอบสนองอย่างฉับไวด้วยการป้องกันความเสี่ยงและการจัดเก็บเงินเพิ่ม ส่งผลให้สามารถฟื้นฟูค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและสาธารณูปโภคในบางส่วนที่เพิ่มขึ้นในยุโรป อันเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
อย่างไรก็ดี การเปิดประเทศอีกครั้งเป็นสัญญาณดีสำหรับอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มของ IVL อย่างไรก็ตาม การล็อกดาวน์จากการระบาดใหญ่อย่างต่อเนื่องของจีนส่งผลกระทบต่ออุปสงค์โพลีเอสเตอร์ขั้นปลาย ส่งผลให้กำไรของ MEG ลดลง ธุรกิจของ IVL มีการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมีผลกระทบในทางบวก ซึ่งช่วยลดต้นทุนแปรสภาพในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งไอวีแอลมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดท้องถิ่น
นายดีลิป กุมาร์ กล่าวว่า “กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการบูราณาการของเรายังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค รองรับการใช้งานที่มุ่งเน้นการยกระดับความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี นี่คือรากฐานที่สำคัญของความยืดหยุ่นของ IVL และช่วยให้บริษัทฯ สามารถรับมือในช่วงที่ผันผวนไม่แน่นอน ในขณะเดียวกันการมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจยังคงส่งผลให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและช่วยขับเคลื่อนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ Combined PET รายงาน Core EBITDA จำนวน 435 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจัดทำสัญญา PTA/PET ใหม่ ณ สิ้นปี 2564 ซึ่ง IVL คาดว่าสภาวะอุปสงค์และอุปทานที่ตึงตัวจะดำเนินต่อไปในปี 2565 โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง
สำหรับธุรกิจ IOD นั้น มี Core EBITDA จำนวน 126 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 258 เมื่อเทียบปีต่อปี จากธุรกิจ MTBE มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่ยังคงแข็งแกร่ง และการเริ่มการผลิตของโรงงานแครกเกอร์ใน Lake Charles ที่ช่วยสร้างกำไรในปี 2565 การเข้าซื้อกิจการ Oxiteno ซึ่งแล้วเสร็จในเดือนเมษายน จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจ IOD ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
กลุ่มธุรกิจ Fiber มี Core EBITDA จำนวน 85 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบปีต่อปี อุปสงค์ในทุกผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจ Fibers ยังคงที่ โดยการขายในประเทศนั้นมีอัตรากำไรที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อัตราค่าระวางสินค้าที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกจากประเทศไทย อินโดนีเซีย และอินเดีย และต้นทุนด้านพลังงานและสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของยุโรป