โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงรับหลายปัจจัยกดดัน เกาะติดตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนยังมีความกังวลในเรื่องของต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอาจจะ กระทบผลประกอบการให้เติบโตไม่ได้เร็วเหมือนตลาดคาด
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีทิศทางเป็นลบจากหลายปัจจัยเข้ามากดดันทั้งทิศทางนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามอัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย. ของสหรัฐฯ ว่าจะออกมาในวันพรุ่งนี้ที่ระดับ 8.1% ได้ตาม ตลาดคาดหรือไม่ ซึ่งจะต่ำกว่าเดือน มี.ค. ที่ 8.5% จะเป็นส่วนช่วยพลิก Sentiment การลงทุนและช่วยชะลอการปรับฐานของดัชนีได้
"วันนี้มองดัชนีเป็นลบจากหลายปัจจัย และนักลงทุนยังมีความกังวลในเรื่องของต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอาจจะกระทบผลประกอบการให้เติบโตไม่ได้เร็วเหมือนตลาดคาด ซึ่งหากจะเปลี่ยนบรรยากาศของการลงทุน อัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย. ต้องออกมาในระดับที่ต่ำกว่า 8.5% ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว" นายกิจพล กล่าว
พร้อมให้แนวรับที่ 1,585-1,590 จุด และแนวต้าน 1,620 จุด
บล.เคทีบีเอสที คาดดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อ ตัวแปรต่างประเทศ (ยูเครน-ดอกเบี้ย-เศรษฐกิจ) ยังถ่วงตลาด ตัวแปรที่กดดันตลาด และยังไม่คลี่คลาย คือ สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย และการ lockdown ของจีน โดยเรามองว่าการตัดสินใจของเฟดถูกชี้นำด้วยตัวแปรทั้งสองที่ยังไม่ดีขึ้น ตลาดจึงน่าจะยังมีความกลัวต่อว่า เฟดและธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย กระทบต่อราคาในสินทรัพย์ต่างๆ เพราะนักลงทุนจะหันมาถือเงินสดเป็นหลัก
ตัวแปรภายในประเทศเป็นเรื่องของการรายงานงบช่วงสัปดาห์สุดท้าย (ส่งงบวันสุดท้าย 17 พ.ค.) มองว่าแรงเข้าเก็งกำไรหุ้นรายตัวน้อยลง จากภาพรวมตลาดที่ดูจะไม่ค่อยดี