นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ยิ่งเงินบาทอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออก เพราะการส่งออกคือเครื่องยนต์หลักสำหรับเศรษฐกิจไทยตอนนี้ จากการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้น คนระมัดระวังการเดินทางและการใช้จ่าย ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นรวดเร็วตามราคาน้ำมันและวัตถุดิบอาหารสัตว์จากภาวะสงครามรัสเซียและยูเครน ยิ่งกดดันการบริโภคให้เติบโตช้า ส่วนภาครัฐห่วงหนี้สาธารณะเพิ่มสูงจึงไม่ได้ออกมาตรการกู้เงินรอบใหม่ ขณะที่เงินกู้ที่เหลือราว 7 หมื่นล้านบาท ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนในระยะสั้น แต่ยังยากที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่
ดังนั้น การส่งออกสินค้าจึงเป็นความหวัง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศยุโรปและอาเซียนยังเติบโตได้ แม้ช้าลงจากปีก่อนแต่นับว่าสูงกว่าในอดีตก่อนหน้า ยกเว้นจีน ที่ประสบปัญหาเติบโตช้าจากการควบคุมการระบาดของโควิดในประเทศ แต่น่าจะมีมาตรการทางการเงินและการคลังมาเร่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งปีหลัง จึงน่าจะสนับสนุนการส่งออกสินค้าสำคัญของไทย เช่น กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง อาหารแปรรูปและสินค้าเกษตร รวมทั้งน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จะมีราคาเคลื่อนไหวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ยิ่งเงินบาทอ่อนค่าจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ผู้ส่งออกจึงคาดหวังให้บาทอ่อนค่า
"แต่บาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องจะช่วยเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ระวังเงินบาทเป็นเงินเยนรายต่อไป เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก จากความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เร่งแรง หรือจากปัญหาราคาน้ำมันแพงที่ส่งผลให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด สะท้อนว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ ประกอบกับเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรเนื่องจากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ ที่มากขึ้น ล้วนส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว"
นายอมรเทพ กล่าวว่า เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐได้อีกในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า จากความเป็นไปได้ที่เฟดพร้อมเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยต้นเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ครั้งละ 0.50% ไปอยู่ที่ระดับ 1.50% ประกอบกับทำมาตรการ QE หรือการลดงบดุลเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ขณะที่ตลาดทุนกังวลความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าหลังมีสัญญาณ inverted yield curve หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว สะท้อนว่านักลงทุนห่วงเศรษฐกิจอาจโตช้าในอนาคต แต่ส่วนตัวมองว่ายังไม่น่าใช่สัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นเพียงปัญหาสภาพคล่องล้น และความกังวลปัญหาเงินเฟ้อที่กดดันเศรษฐกิจโตช้า และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
โดยคาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าช่วงไตรมาส 2 ไปที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่สิ่งที่ต้องกังวลไว้บ้าง นั่นคือหากเงินบาทอ่อนค่าแรงและเร็วเกินไป เช่น จากระดับราว 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐช่วงปลายเดือนเมษายน ไปสู่ระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคมแล้วละก็ ผู้ส่งออกคงยากที่จะตั้งราคาหรือบริหารงบการเงินเพื่อดูแลต้นทุนการใช้จ่ายอื่นๆ แสดงว่าบาทอ่อนในภาพเช่นนี้อาจไม่ใช่ผลดีเสมอไป โดยเฉพาะเงินบาทที่อ่อนจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันสูงขึ้น จนอัตราเงินเฟ้อเร่งแรง
ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญภาพนี้ หลังเงินเยนอ่อนค่าเฉียดระดับ 130 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่า 10% นับจากต้นปี แม้จะเป็นประเทศส่งออกสุทธิ แต่การส่งออกไม่ดีตามคาด ทั้งจากการที่บริษัทเผชิญปัญหาบริหารงบการเงิน ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ การบริโภคได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นเร็ว และมีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะแตะระดับ 2% เร็วๆ นี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญกดดันเงินเยนอ่อนค่ามาจากนักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำและคงมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง โดยไม่สนใจว่าสหรัฐฯ และประเทศสำคัญอื่นจะดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ภาวะเช่นนี้นักลงทุนอาจเก็งกำไรจากการคาดการณ์ว่าเงินเยนจะอ่อนไปได้อีกและอาจทำให้ตลาดผันผวนได้ในเดือนข้างหน้า ต้องจับตาว่า นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรค่าเงินจะมองเงินบาทว่ามีภาพคล้ายกับเงินเยนหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นที่ธนาคารกลางจะยืนอัตราดอกเบี้ยต่ำลากยาวเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยอาจปล่อยให้เงินบาทอ่อนค่า แต่หากเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเช่นใด
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากบาทอ่อนค่าแรง ในทางทฤษฎี เงินบาทอ่อนค่าจะช่วยการส่งออก การท่องเที่ยว เกิดการลงทุน การจ้างงาน แต่หากอ่อนค่ามากเกินไปจะมีผลให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น เสมือนเงินที่รั่วไหลออกนอกประเทศมากขึ้น การบริโภคอาจไม่ได้เร่งขึ้นแม้มีรายได้จากกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน เพราะกำลังซื้อแผ่วจากรายได้ที่โตไม่ทันรายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้านำเข้า เช่น น้ำมัน อาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี และเหล็ก ส่วนกลุ่มผู้ลงทุนเพื่อส่งออกในอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นให้ผู้บริโภคในต่างประเทศได้ทั้งหมด กลุ่มที่ต้องอาศัยสัดส่วนการนำเข้าที่สูงเพื่อประกอบและส่งออกอาจไม่ได้ประโยชน์ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากเงินบาทอ่อนค่าแรงชั่วคราวในช่วงไตรมาส 2 นี้ แต่ต้องบริหารต้นทุนด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้ดี
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทครึ่งปีหลังมีโอกาสอ่อนค่าช่วง 1-2 เดือนนี้ หลังสหรัฐฯ เร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและดูดกลับสภาพคล่องด้วยการลดงบดุล จะทำให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ อีกทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยน่าจะขาดดุลสูงที่สุดในรอบปีจากการนำเข้าสินค้ากลุ่มพลังงานที่สูงตามราคาน้ำมัน รายได้การท่องเที่ยวที่ยังต่ำ และการจ่ายเงินปันผลและเงินโอนไปต่างประเทศที่สูงในช่วงไตรมาส 2 ล้วนทำให้มีความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐสูงเป็นพิเศษ อย่างไรก็ดี เงินบาทน่าจะถึงจุดสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 2 นี้ ก่อนจะปรับแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยสรุป ปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นจากเศรษฐกิจไทยโตช้าต้องอาศัยมาตรการดอกเบี้ยต่ำลากยาวมาสนับสนุน สวนทางกับฝั่งสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปที่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้เงินดอลาร์สหรัฐแข็งค่าเทียบสกุลอื่น เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ขณะที่ไทยมีความเสี่ยงขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงตามรายจ่ายค่าน้ำมันและขาดรายได้การท่องเที่ยว แม้คาดว่าเงินบาทจะไปแตะ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐช่วงกลางปี แต่หากมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นกระทบเงินไหลออกหรือราคาน้ำมันเพิ่มสูงกว่าคาด มีโอกาสที่บาทจะอ่อนค่าไปถึงระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และน่าจะมีผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับมุมมองว่าจะควบคุมการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนหรือจะปล่อยให้บาทอ่อนเพื่อช่วยผู้ส่งออก แต่อาจช่วยได้ไม่มากเพราะมีปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ค่าระวางเรือสูง และขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ในการผลิต
นอกจากนี้ เงินบาทอ่อนค่าเร็วและแรงรอบนี้ อาจไม่ช่วยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีเช่นอดีต จากราคาสินค้านำเข้าที่สูงจะยิ่งกดดันการบริโภคฟื้นตัวช้า อีกทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวยังต่ำ ผู้ส่งออกที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนมีไม่มาก ส่วนกลุ่มผู้นำเข้าเพื่อส่งออกจะเผชิญต้นทุนนำเข้าที่สูงแต่ไม่สามารถผลักภาระต้นทุนไปให้ผู้บริโภคได้ ดังนั้น ไตรมาส 2 นี้ ผู้ส่งออกอาจเตรียมบริหารอัตราแลกเปลี่ยนไว้ให้ดี ทั้งการทำ natural hedging หรือใช้รายได้จากการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐมาจ่ายการนำเข้า การฝากเงินในสกุลเงินตราต่างประเทศ ผู้นำเข้าเองน่าจะป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้บ้าง เงินบาทน่าจะอ่อนค่าแรงที่สุดถึงช่วงกลางปี ก่อนพลิกกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งปีหลัง