xs
xsm
sm
md
lg

‘คลัง’ ออกโรงโต้ไม่เคยพูดปรับสูตรแจกคนละครึ่ง รอประเมินก่อนเคาะเฟส 5

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“คลัง” ออกโรงโต้ไม่เคยพูดปรับสูตรแจกคนละครึ่ง พร้อมแจงขอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจก่อนตัดสินใจเดินลุยคนละครึ่งเฟส 5 รับเศรษฐกิจเริ่มฟื้น บริษัทอัดโบนัส อาจถึงจุดรัฐทยอยลดมาตรการเยียวยา ปัดซุกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ยันเป็นโครงการตามนโยบายรัฐที่ให้รัฐวิสาหกิจเดินเครื่องไปก่อน ไม่ใช่การกู้เงิน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้พูดไปหลายครั้งแล้วว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีการต่ออายุมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 5 หรือไม่ โดยต้องประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวมก่อน เพราะมีการถูกถามอยู่เสมอว่า รัฐบาลมีเงินเพียงพอหรือไม่ ยอมรับว่าขณะนี้รัฐบาลมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและการกู้เงินเพื่อมาใช้ในโครงการมากขึ้น ดังนั้นตอนนี้จึงต้องติดตามประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจก่อน ซึ่งเวลานี้ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ภาคธุรกิจมีการเรียกพนักงานกลับไปทำงาน ทั้งในภัตตาคาร โรงงาน มีการเพิ่มกำลังการผลิต หลายบริษัทมีการจ่ายโบนัส ถือว่าประชาชนเริ่มมีรายได้กลับมาแล้ว มีขีดความสามารถในการใช้จ่ายตามกำลังมากขึ้นแล้ว

“ผมไม่เคยพูดว่าจะมีการต่อมาตรการคนละครึ่ง เฟส 5 รวมทั้งการปรับสูตรช่วยจ่ายเงิน ยังไม่มีแนวคิดดังกล่าว ส่วนการจะต่ออายุมาตรการหรือไม่ ต้องประเมินกันต่อไปว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้สำหรับผู้มีรายได้ประจำ ผู้มีรายได้รายวันนั้นเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพิ่มขึ้นอย่างไร หมายความว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ความจำเป็นในการเข้าไปกระตุ้นตรงนี้ก็อาจจะต้องลดลงไป” นายอาคม กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความจำเป็นในการออกมาตรการจะลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐจะไม่ดูแลประชาชนยืนยันว่ายังคงต้องดูแลระดับการบริโภค โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเริ่มมีสัญญาณคนไทยเดินทางมากขึ้น ต่างชาติเพิ่มขึ้น มาตรการที่ ศบค. ผ่อนคลายจะทำให้รายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่การจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มร้อย ยังมีนักท่องเที่ยวกลับมาไม่ถึง 40 ล้านคน ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์ตรงนี้อย่างใกล้ชิดด้วย

ในส่วนของการกู้เงินเพิ่มเติมต้องติดตามสถานการณ์ความจำเป็นในมิติต่างๆ การกู้ต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ว่า กู้เพื่ออะไร อีกด้านหนึ่งต้องดูแลสัดส่วนหนี้สาธารณะ ถ้ากู้เพิ่ม ระดับหนี้สาธารณะก็จะเพิ่ม แม้จะมีช่องว่างการก่อหนี้เพิ่มอีกอีก 10% ต่อจีดีพี จากการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ต่อจีดีพีเป็น 70% ต่อจีดีพี แต่ตรงนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นจริงๆ ส่วนที่มีการถามอีกว่า ถ้ากู้เพิ่มอีกก็กลัวจะชนเพดานที่ 70% ต่อจีดีพีนั้น ในแง่ของผมที่ดูแลกระทรวงการคลัง คงต้องดูวินัยการเงินการคลังด้วย เพราะต้องนำเงินกู้ไปใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจมากกว่าการไปอัดฉีดเม็ดเงินเยียวยา เมื่อสถานการณ์โควิด-19 มีความรุนแรงลดลงแล้ว

ทั้งนี้ แผนการบริหารหนี้สาธารณะมี 2 ส่วนหลัก คือ แผนการก่อหนี้ใหม่ และการปรับโครงสร้างหนี้ ตรงนี้คือหนี้เดิมที่มีอยู่แล้วแต่นำมาบริหาร เช่น การเจรจาขอยืดเวลาชำระหนี้ เป็นต้น ส่วนแผนการก่อหนี้ใหม่จะมีโครงการต่างๆ ทั้งของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมาขอกู้ในลักษณะที่ให้คลังค้ำ และไม่ค้ำประกัน หนี้ก้อนนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม มีการประเมินว่าจะใช้เงินราว 8 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สาธารณะขยับขึ้นเป็น 62% โดยไม่มีการก่อหนี้ใหม่ อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจเติบโต โดยปีนี้คาดการณ์ว่าจีดีพีอยู่ที่ 3-4% ปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวที่ 4-5% เมื่อจีดีพีเพิ่มขึ้น สัดส่วนหนี้สาธารณะก็จะลดลง

ส่วนกรณีที่บอกว่า กระทรวงการคลังมีการซุกหนี้ 1 ล้านล้านบาทนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง วงเงินดังกล่าวเป็นเรื่องการใช้มาตรา 28 ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่อนุญาตให้ฝ่ายบริหารดำเนินโครงการต่างๆ ที่เป็นนโยบายรัฐบาลได้ โดยใช้กลไกของรัฐวิสาหกิจออกเงินไปก่อน เช่น โครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร หรือการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งรัฐบาลจะตั้งงบคืนให้ในปีงบประมาณถัดไป ดังนั้นอันนี้ไม่ถือว่าเป็นการกู้เงิน แต่เป็นการให้ออกเงินไปก่อน และรัฐบาลตั้งเงินชดใช้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ จึงไม่ใช่การกู้ยืมเงินและไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ดี นายอาคม กล่าวถึงกรณีมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลที่ลิตรละ 3 บาท ซึ่งจะหมด 20 พ.ค.2565 ว่า ขณะนี้ยังมีเวลาพิจารณาอีกมากโดยกระทรวงการคลังคลังต้องหารือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ และภาพรวมการจัดเก็บรายได้ด้วย ซึ่งการจัดเก็บรายได้รัฐขณะนี้ถือว่ายังพอได้อยู่


กำลังโหลดความคิดเห็น