'Zuck Bucks' เป็นรูปแบบสกุลเงินดิจิทัลล่าสุดที่ Meta ประกาศสร้างขึ้นประจำโลกเสมือน หลังจากที่ Diem ของสกุลเงินดิจิทัลของ Facebook ไม่สามารถผลักดันสู่การใช้งานตามแผนได้
จากการเปิดเผยของ fortune.com ระบุถึงปัญหาด้านเทรนด์การเสพสื่อโซเชียลที่เปลี่ยนไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Facebook หรือ Meta ลดลงจำนวนไม่น้อย เนื่องจากต้องเผชิญกับปัญหาผู้ใช้ใหม่ลดลงและผู้ใช้เดิมเปลี่ยนไปใช้คู่แข่งรายใหม่ เช่น TikTok ทำให้ Meta จำเป็นต้องปรับแผนการฟื้นฟูรายได้ เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไป โดยจากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าสกุลเงินเสมือน สามารถช่วยดึงดูดผู้ใช้ให้เข้าสู่แพลตฟอร์ม metaverse และทำให้พวกเขาอยู่ที่นั่นโดยการสร้างโทเคนดิจิทัลที่สามารถใช้จ่ายได้เฉพาะบนแพลตฟอร์มของ Meta เท่านั้น
ขณะที่ตามรายงานของ Financial Times พนักงานของ Meta ระบุชื่อสำหรับสกุลเงินเสมือนใหม่ว่า "Zuck Bucks" ซึ่งได้รับการตั้งชื่อตาม Mark Zuckerberg ซึ่งเป็น CEO ของกลุ่มบริษัทนั่นเอง
ขณะที่ย้อนกลับไปหลายปีก่อนหน้านี้ที่ Mark Zuckerberg CEO ของ Meta ที่พยายามจะเปิดตัว Diem ในปี 2019 ขณะที่ Zuck Bucks ถูกประเมินจากนักวิเคราะห์ว่าอาจจะไม่ใช่ cryptocurrencies ที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน โดย Financial Times กล่าวอ้างถึงผู้ที่คุ้นเคยกับโครงการนี้ว่า Zuck Bucks ซึ่งถูกควบคุมโดย Meta โดยตรง เหมือนกับสกุลเงินในเกมที่ใช้ใน Fortnite และเกมบนแพลตฟอร์ม Roblox โดยอยู่ในรูปของ Digital Token เพื่อการใช้งานเฉพาะทาง แต่ทั้งนี้อาจนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผ่านช่องทางที่ Meta กำหนด ซึ่งผู้ใช้จำต้องนำสกุลเงินของตัวเองนั้นไปเปลี่ยนเป็น USDT หรือ USDC ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนเป็น Zuck Bucks เพื่อนำไปใช้งานในโลก metaverse
โดยก่อนหน้านี้ Facebook ประกาศเปิดตัว Libra ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายสกุลเงินของรัฐบาล ในปี 2019 ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักการเมืองและธนาคารกลางในทันทีว่าความพยายามของมันจะบ่อนทำลายสกุลเงินที่มีอยู่ หลังจากที่พันธมิตรหลายรายละทิ้งโครงการนี้ Facebook ได้เปลี่ยนชื่อ Libra เป็น Diem ในปลายปี 2020 และตรึงสกุลเงินเสมือนเป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่การรีแบรนด์ไม่ได้ช่วยบรรเทาข้อกังวลด้านหน่วยงานกำกับดูแล และสุดท้าย Diem ก็ต้องปิดโครงการในเดือนมกราคม
ขณะที่โฆษกของ Meta กล่าวว่า "Meta มุ่งเน้นไปที่การสร้าง metaverse และนั่นรวมถึงการชำระเงินและบริการทางการเงินในโลกเสมือนนั้นอาจมีลักษณะเช่นนี้"
ทั้งนี้ "Zuck Bucks" ถือว่าเป็นโครงการโทเคนดิจิทัลล่าสุดของ Facebook ซึ่งไม่ใช่สกุลเงินแรกที่เปิดโครงการเข้าสู่สกุลเงินดิจิทัลแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเปิดตัวเครดิต Facebook ในปี 2552 เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อในแอปในเกมอย่าง FarmVille ในขณะที่ประสบความสำเร็จในขั้นต้น Facebook ปิดบริการใน 4 ปีต่อมาหลังจากการเติบโตในต่างประเทศ ทำให้บริการไม่คุ้มทุน และเป็นปัญหาเหนี่ยวรั้งองค์กรจนเกินไปเนื่องจากต้นทุนจากการแปลงสกุลเงินต่างประเทศมีความผันผวนสูง และบริษัทสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดความพยายามในการสร้างสกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) ของบริษัทก็พังทลายลงเช่นกัน หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลระงับการเสนอราคาของแพลตฟอร์มเพื่อเปิดตัว stablecoin ที่เชื่อมโยงกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก ก.ล.ต.สหรัฐฯ หน่วยงานด้านความมั่นคง ตลอดจนสภาคองเกรสและธนาคารกลางสหรัฐฯ วิตกกังวลในสถานะความเป็นมหาอำนาจทางสื่อโซเชียลของ Facebook หรือ Meta ซึ่งครอบคลุมกว่า 190 ประเทศทั่วโลก และอาจเป็นช่องทางในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ จากปัญหารายได้ที่ลดลง ทำให้ Meta โฟกัสการสร้างรายได้ที่มีอย่างต่อเนื่องในสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการของบริษัทในการหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ แม้ว่าหุ้น Meta ซึ่งปรับตัวลดลงกว่า 30% จากวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เมื่อบริษัทเปิดเผยว่าการใช้จ่ายใน metaverse ส่งผลให้กำไรไตรมาส 4 ลดลง แต่บริษัทยังคงคาดหวังว่ารายได้จะไม่ลดลงมากไปกว่านี้ เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากแพลตฟอร์มใหม่อย่าง TikTok
ในขณะที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่า Zuck Bucks สามารถขับเคลื่อนรายได้ของ Meta ได้อย่างไร โดยในส่วนของบริษัทอย่าง Roblox จะได้รับรายได้จากสกุลเงินในแอปโดยการขายให้ผู้ใช้โดยตรง ซึ่ง Meta ยังหวังว่าโทเคนดิจิทัลจะสนับสนุนให้ผู้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์มของตนต่อไป โดยสนับสนุนธุรกิจโฆษณามูลค่า 118 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
นอกจากนี้ Meta ยังสำรวจแผนการที่จะรวมโทเคนที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ หรือ NFT ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น อาร์ตเวิร์ก เพลง ซึ่งความเป็นเจ้าของถูกควบคุมโดยบล็อกเชน โดย Facebook จะรวมวิธีการอนุญาตให้ผู้ใช้สร้าง NFT ของตนเอง ซึ่งในขณะนี้บริษัทอยู่ในช่วงของการพิจารณาวิธีที่จะให้กลุ่ม Facebook ใช้ NFT เป็นเกณฑ์ในการเป็นสมาชิก ตามการรายงานของ Financial Times จะเห็นได้ว่า Meta ยังสำรวจช่องทางวิธีการสร้างรายได้จาก NFT ผ่าน "ค่าธรรมเนียม และ/หรือโฆษณา"