LPP ธุรกิจในเครือแอล.พี.เอ็น.ฯ ประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ตั้งเป้าเป็นที่หนึ่งผู้นำในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาฯ ครบวงจร โชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งด้านการเงิน รายได้ ไม่มีหนี้ ไม่มีภาระถือครองแอสเสท คาดเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้เม็ดเงินมหาศาล พร้อมขับเคลื่อนลงทุน ร่วมทุนพันธมิตร ชงโมเดลแปลงค่าใช้จ่ายกลับคืนเป็นกำไร วางเป้าเพิ่มสัดส่วนเข้าบริหารโครงการอสังหาฯ รายอื่น ขยายฐานกลุ่มโครงการเชิงพาณิชย์ คาดรวมสัดส่วนแตะ 50%
นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และกรรมการบริษัท บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) กล่าวว่า ธุรกิจบริการเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ของ LPP ที่ส่งมอบคุณค่างานบริการให้โครงการภายในเครือ LPN และเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจของ LPP จึงต้องการปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจ (UNLOCK INTRINSIC VALUE) เพื่อก้าวสู่การสร้างผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งในปัจจุบัน มีการปรับโครงสร้างธุรกิจของ LPP ใหม่ให้ครอบคลุมทุกงานบริการ และมีเป้าหมายที่จะส่งบริษัท LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2567
โดยนายอภิชาติ กล่าวว่า “LPP มีความเซ็กซี่ ถ้ามองในเชิงทางการเงินจะมีอยู่ประมาณ 4 ประเด็น เริ่มจากบริษัทมีรายได้อยู่ประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท และภายใน 3-4 ปีข้างหน้าจะโตไประดับ 2,000 กว่าล้านบาท เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้ อย่างที่สอง เป็นธุรกิจบริการที่ไม่ต้องมีสินทรัพย์ ทำให้ไม่ต้องแบกสินทรัพย์ ไม่มีค่าเสื่อมที่ต้องมาตัดในรอบบัญชี อย่างที่สาม เงินที่ระดมทุนได้จะไปต่อยอดและลงทุน หรือการนำเสนอโมเดลใหม่ๆ เช่น การจะเปลี่ยนค่าใช้จ่ายของบริษัทอื่นๆ มาคืนเป็นรายได้หรือกำไร ผ่านการร่วมทุน การปรับเปลี่ยนนโยบายในเชิงกลยุทธ์ที่เรากำลังทำ จะส่งผลให้ P/E Ratio เติบโตมากกว่า 20 เท่าเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ
ทั้งนี้ LPN คาดว่าเมื่อ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) 3,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า และผลประโยชน์ยังเกิดกับบริษัทแม่ (LPN) ในฐานะผู้ถือหุ้น ให้มี Market Cap เพิ่มขึ้นจาก 7,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 64 เป็น 10,000 ล้านบาท
รุกเพิ่มสัดส่วนโครงการนอกเครือ LPN แตะ 50%
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LPP กล่าวถึงทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ LPP ว่า ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2,300 ล้านบาทในปี 2569 โดยเติบโตจาก 857 ล้านบาทในปี 64 ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า 200% คิดเป็นเติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ยกว่า 10% ต่อปี
จากผลการศึกษาของบริษัทพบว่า ตลาดการให้บริการบริหารจัดการอาคารทั่วประเทศจะมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทในปี 65 รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงาน และอาคารในเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยปีละ 3-4 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคารมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย
"ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ก้าวเข้าสู่ New S-Curve จึงเป็นโอกาสของ LPP ในการสร้างการเติบโตผ่านการรุกและขยายตลาดและให้บริการอย่างครบวงจร ขณะที่โครงสร้างธุรกิจในส่วนของการบริหารจัดการโครงการใหม่ จากที่เคยมุ่งเน้นบริหารโครงการให้ LPN เป็นหลัก จะขยายไปสู่การบริหารจัดการอาคารให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยขยายจากสัดส่วนเดิมที่ 30% เป็น 50%”
เชื่อมลูกค้า 3 แสนคน สู่แพลตฟอร์มค้าออนไลน์ในชุมชน
น.ส.สมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ LPP กล่าวว่า จากประสบการณ์การบริหารจัดการอาคารมานานกว่า 30 ปี บริษัทได้สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาต่อยอดการบริหารจัดการอาคารมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 200 โครงการ 160,000 ครอบครัว และผู้พักอาศัยจำนวนกว่า 300,000 คน ไม่รวมงานบริการด้านอื่นๆ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน LPP ยังมอบบริการพิเศษในการเพิ่มความสะดวกสบายและช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการภายใต้การบริหารจัดการของ LPP โดยขยายธุรกิจสู่บริการบนแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ในชุมชน (Community Commerce) ภายใต้ชื่อ "Living24 Store"