xs
xsm
sm
md
lg

ภาวะเงินเฟ้อ-ความไม่แน่นอนทาง ศก. ดันดีมานด์ทองพุ่งต่อเนื่องป้องความเสี่ยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการสะสมทองคำไว้ในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง นักเศรษฐศาสตร์มองเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงยาวนาน เกิดความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แนะให้ติดตามตัวเลขสําคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อราคาทองคําในทิศทางใด

ราคาทองคำเคยผันผวนและร่วงหนักเมื่อปี 2018 ทองคำก็ได้ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 12 เดือนต่อมา และเริ่มมีแนวโน้มขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ขณะที่ราคาเพิ่มขึ้นถึง 1,556 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การเพิ่มยังคงดำเนินต่อถึงปี 2020 การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ความนิยมในการใช้โลหะมีค่าเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นและเดือนมกราคม 2021 ราคาทองคำร่วงลง เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ที่คลายลง และวัคซีนที่มีแพร่หลายและครอบคลุม เพราะหลายประเทศเริ่มเปิดเมือง ทำให้การเดินทางและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น ฟันเฟืองจึงต้องหมุนต่อไป ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งของการลงทุน นอกจากตลาดหุ้น และพันธบัตรแล้ว ทองคำคือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

อย่างไรก็ดี ราคาทองคำจะลดลงทุกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศโครงการและแผนต่อต้านไวรัสโควิด -19 อีกทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ขณะที่ด้านอุปทาน การผลิตทองคำกลับมาฟื้นตัวจากการหยุดทำการหลังจากเริ่มต้นของวิกฤตโคโรนา นักวิเคราะห์คาดว่าการผลิตจะขยายตัวจนถึงปี 2022 เนื่องจากราคาสูงกว่าต้นทุนการผลิต ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงเฉลี่ย 4% ในปี 2021 และจะลดลงอีกในปี 2022

รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำล่าสุดของ สภาทองคำโลก เผยว่า ความต้องการทองคำรายปีทั่วโลก (ไม่รวมตลาด OTC) ได้ฟื้นตัวขึ้น นับตั้งแต่การสูญเสียจากการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 มาอยู่ที่ 4,021 ตัน สำหรับทั้งปี 2564

แนวโน้มนี้สะท้อนเด่นชัดในประเทศไทย เมื่อความต้องการทองคำของผู้บริโภคแตะระดับ 12 ตัน ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ความต้องการเครื่องประดับทองรายปีของประเทศไทยอยู่ที่ 8 ตัน เพิ่มขึ้น 38% จาก 6 ตัน ในปี 2563 ในไตรมาสที่ 4 การใช้เครื่องประดับเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันในการเติบโตแบบปีต่อปี เรียกได้ว่าเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ และสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิดอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2564 ประเทศไทยเปลี่ยนจากการถอนการลงทุนสุทธิไปเป็นการลงทุนเชิงบวกสุทธิในทองคำแท่งและเหรียญ การรวมกันระหว่างราคาทองคำที่ลดลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องทำให้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญต่อปีแตะ 29 ตัน เทียบกับการขายสุทธิที่ 87 ตัน ในปี 2563

แอนดรูว์ เนย์เลอร์ ซีอีโอประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า "เราเห็นดีมานด์ในทองคำแท่งและเหรียญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนจากการถอนลงทุนสุทธิไปเป็นการลงทุนเชิงบวกสุทธิ การรวมกันระหว่างราคาทองคำที่ลดลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและค่าเงินบาทที่อ่อนลงมีบทบาทสำคัญในแนวโน้มการลงทุนนี้เป็นอย่างยิ่ง"

โดยความต้องการทองคำทั่วโลกแตะ 1,147 ตัน ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ซึ่งถือเป็นระดับรายไตรมาสสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เป็นต้นมา และเพิ่มขึ้นเกือบ 50% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามรายงานของสภาทองคำโลก ขณะที่ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญเพิ่มขึ้น 31% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 ปีที่ 1,180 ตัน เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยมองหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19

ขณะเดียวกัน ชุดข้อมูลของสภาทองคำโลกรายงานว่า มีทองคำไหลออกจากกองทุน ETF ที่หนุนด้วยทองคำจำนวน 173 ตันในปี 2564 เนื่องจากนักลงทุนที่ปรับสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะของตลาดบางรายได้ลดการป้องกันความเสี่ยงในช่วงต้นปี เมื่อประชาชนทั่วไปเริ่มได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้การถือครองทองคำมีราคาแพงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การไหลออกของทองคำเหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับ 2,200 ตัน ที่กองทุน ETF ทองคำได้สะสมไว้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งแสดงให้ว่า นักลงทุนให้ความสำคัญกับการสะสมทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงความต้องการรายปีของผู้บริโภค ภาคอัญมณีดีดตัวขึ้นไปถึงยอดที่เคยได้ก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2562 ที่ 2,124 ตัน โดยได้รับการหนุนจากไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง เมื่อความต้องการแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2556 เป็นต้นมา ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ราคาทองคำต่ำกว่าราคาเปรียบเทียบเฉลี่ยในปี 2564 ถึง 25% ตอกย้ำความแข็งแกร่งของดีมานด์ในไตรมาสล่าสุด เป็นปีที่ 12 ติดต่อกันที่ธนาคารกลางเป็นผู้ซื้อสุทธิของทองคำ โดยเพิ่มการถือครองทองคำ 463 ตัน ซึ่งสูงกว่าปี 2563 ถึง 82% กลุ่มธนาคารกลางที่มีความหลากหลายจากทั้งตลาดเกิดใหม่และตลาดที่พัฒนาแล้วได้เพิ่มการสำรองทองคำของตน ทำให้ยอดรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 30 ปี

โดยการใช้ทองคำในภาคเทคโนโลยีในปี 2564 เพิ่มขึ้น 9% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ที่ 330 ตัน แม้ว่าความต้องการในด้านเทคโนโลยีค่อนข้างน้อยกว่าภาคส่วนอื่นๆ แต่มีการใช้งานทองคำอย่างแพร่หลายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ตั้งแต่อุปกรณ์พกพา ไปจนถึงกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ (James Webb Telescope) อันล้ำสมัยที่เพิ่งเปิดตัวไป

ทั้งนี้ คาดว่าทองคำจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายๆ กับปีที่ผ่านมาในปี 2565 นี้ เนื่องจากมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและลดทอนประสิทธิภาพของทองคำ ในอีกไม่นานนี้ ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตามเงินเฟ้อ โดยจะเป็นไปพร้อมๆ กับการกระชับนโยบายทางการเงินและประสิทธิภาพในการควบคุมเงินเฟ้อของธนาคารกลางทั่วโลก เพราะในอดีต การเปลี่ยนแปลงของตลาดเหล่านี้ได้สร้างกระแสต่อต้านทองคำ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีนี้และความเป็นไปได้ที่ตลาดจะอ่อนตัวลงมีแนวโน้มที่จะรักษาความต้องการทองคำไว้เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ทองคำอาจยังคงได้รับการหนุนจากผู้บริโภคและอุปสงค์ของธนาคารกลาง

แอนดรูว์ เนย์เลอร์ กล่าวอีกว่า ทองคำและคริปโทเคอร์เรนซี มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่ 3 ส่วน คือความเสี่ยงด้านการเติบโต เนื่องจากทองคำเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่คริปโทฯ นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนขายคือใครซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ประการต่อมาคือการกำกับดูแล เพราะมีหลายประเทศที่ออกมาแบนคริปโทฯ ขณะที่หลายประเทศออกมากำกับดูแลรวมถึงอนุญาตให้มีการเก็บภาษีได้เช่นในอินเดียที่ประกาศเก็บค่าภาษีคริปโทฯ ถึง 30% สุดท้ายคือผลการดำเนินงานทางการเงิน (Financial Performance) ของคริปโทฯที่แตกต่างกัน ซึ่งทองคำนั้น ยังเป็นสินทรัพย์ที่ผู้คนต้องการ ต่างจากคริปโทฯ ซึ่งจะต้องการเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การที่มีตลาดเทรดคริปโทฯ ทำให้ทองคำรับรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องปรับตัวจากเดิม ให้มีการซื้อขายผ่านออนไลน์มากขึ้นเพื่อให้ทองคำปรับตัวและเติบโตต่อไปได้ ทั้งนี้คำแนะนำสำหรับการจัดพอร์การลงทุนในทองคำ โดยดูจากการจัดพอร์ตการลงทุนของทั่วโลกจะแนะนำให้ลงทุนในทองคำอยู่ที่ประมาณ 5-15% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ล่ะประเทศด้วย

“Louise Street, นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก ” ให้ความเห็นว่า "ผลการดำเนินงานของทองในปีนี้ได้ตอกย้ำคุณค่าของคุณสมบัติทวิภาพที่ไม่เหมือนใครและตัวขับเคลื่อนความต้องการที่หลากหลายอย่างแท้จริง ในด้านการลงทุน การยื้อยุดระหว่างอัตราเงินเฟ้อที่คงอยู่และราคาที่สูงขึ้นทำให้เกิดภาพอุปสงค์หลากหลาย ราคาเพิ่มสูงขึ้นกระพือความเสี่ยงในหมู่นักลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นในการไหลออกจาก ETF ในทางกลับกัน การมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยทำให้มีการซื้อทองคำแท่งและเหรียญเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการซื้อของธนาคารกลาง การลดลงของ ETF จะชดเชยด้วยการเติบโตของดีมานด์ในภาคส่วนอื่นๆ อัญมณีก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบทศวรรษ เนื่องจากตลาดสำคัญๆ เช่น จีนและอินเดีย มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

"เราคาดว่าการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายๆ กันนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพทองคำในปี 2565 โดยมีตัวขับเคลื่อนความต้องการที่ผันผวนตามอิทธิพลของตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญ วิธีที่ธนาคารกลางจัดการกับเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสำคัญต่ออุปสงค์ทางสถาบันและการค้าปลีกในปี 2565 ในขณะเดียวกัน ความแข็งแกร่งของตลาดอัญมณีในปัจจุบันอาจต้องหยุดชะงัก หากมีการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่มาเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงของผู้บริโภคอีก หรืออาจจะคงความแข็งแกร่งต่อไป ถ้าเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัว"

ตัวเลข ศก.สหรัฐ กระทบราคาทองคำ

บริษัท เอ็มทีเอส แคปปิตอล จำกัด เผยว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% เป็นไปตามที่ ตลาดคาดการณ์ไว้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี ขณะที่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดย ธนาคารกลางยุโรป ประเมินว่า เงินเฟ้อระดับสูงจะทยอยลดลงตลาดช่วงปี แต่เหล่านักเศรษฐศาสตร์ยังคงสงสัยและมองว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงอย่างยาวนานซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังคงอยู่ในระดับตํ่าที่ -0.5% และธนาคารกลางยุโรปจะยุติโครงการ Pandemic emergency purchase programme (PEPP) หรือ QE มูลค่ากว่า 1.85 ล้านล้านยูโรภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แต่ก็ยังมีมาตรการพร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจหากเผชิญภาวะยากลําบาก และ จํานวนผู้ขอรับสว้สดิการว่างงานสหรัฐปรับตัวลดลงสู่ระดับตํ่าที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ อยู่ที่ 238,000 ราย ตํ่ากว่าที่ตลาดคาดที่ 245,000 ราย และลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 261,000 ราย เป็นผลจากความต้องการแรงงานค่อนข้างสูงและผลกระทบจากการระบาดโควิดโอมิครอนเริ่มหมดไป

ขณะที่ราคาทองคํายังคงเคลื่อนตัวในภาพกว้างในกรอบ Sideways โดยแกว่งเป็นวงกว้างระหว่างแนวรับและแนวต้านที่ 1,790 -1,815 ดอลลาร์ และ ยังคงต้องติดตามตัวเลขสําคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลต่อราคาทองคําในทิศทางใด สําหรับ Gold Comexและ Gold Online Futures คาดจะมีกรอบแนวรับ 1,790 ดอลลาร์ และแนวต้าน 1,815 ดอลลาร์ ด้านราคาทองคําไทยน่าจะเปิดปรับลง -50 บาท/บาททองคํา

YLG มั่นใจปีนี้ทองยังเป็นขาขึ้น

“นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) " ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบันแม้ราคาทองคำจะไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างหวือหวาแต่ภาพรวมยังเป็นการปรับตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ล่าสุดนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ล่าสุดราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือ 1,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้าจาก SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ หลังจากที่ปีที่ผ่านมากองทุนได้เทขายทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำในปีนี้ แม้ว่าจะเป็นปีที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค. เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงในรอบ 40 ปี จึงทำให้แม้ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ

นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับปัจจัยบวกจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนกรณีความขัดแย้ง สหรัฐ-รัสเซีย ในข้อพิพาทยูเครน ที่ต้องเริ่มจับตาอย่างใกล้ชิดหลังจากที่มีข่าวว่าอาจจะเปิดการโจมตีเกิดขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการทองคำจากอินเดียและจีน จึงทำให้ความต้องการทองคำมีมากขึ้นทั้งในส่วนของการลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้า(Futures) และทองคำกายภาพ

อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำช่วงนี้ YLG มีคำแนะนำให้หาจังหวะซื้อที่แนวรับ1,834-1,848 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านอยู่ที่1,795-1,916 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศรอบนี้มองว่ามีโอกาสแตะ 29,000 บาท






กำลังโหลดความคิดเห็น