ข่าวลือการเพิ่มทุน นำหุ้นบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA กับบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH เป็นจริงจนได้ หลังจากคณะกรรมการ NUSA มีมติเพิ่มทุน นำหุ้นแลกหุ้น WEH
NUSA แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์เย็นวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติเพิ่มทุน นำหุ้นจำนวน 3,939 ล้านหุ้น จัดสรรให้ผู้ถือหุ้น WEH จำนวน 8.75 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาหุ้น WEH หุ้นละ 405 บาท และหุ้น NUSA ราคาหุ้นละ 90 สตางค์
สัดส่วนการจัดสรร กำหนด 1 หุ้น WEH ต่อ 450 หุ้น NUSA โดยหลังการจัดสรรหุ้นครั้งนี้ จะทำให้ NUSA ถือหุ้น WEH ในสัดส่วน 8.04% ของทุนจดทะเบียน ส่วนผู้ถือหุ้นที่ตกลงขายหุ้น WEH จะถือหุ้น NUSA รวมกันสัดส่วน 32.88% ของทุนจดทะเบียน
ข่าวลือคือข่าวจริงที่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ได้รับการพิสูจน์อีกครั้งจากหุ้น NUSA เพราะข่าวการเล่นแร่แปรธาตุ นำหุ้น NUSA และหุ้น WEH ลือกระฉ่อนมาพักหนึ่งแล้ว
แต่ประเด็นที่นักลงทุนน่าจะให้ความสำคัญมากกว่าคือ ราคาหุ้น NUSA เพราะทุกคนคงมีคำตอบแล้วว่า เพราะเหตุใดราคาหุ้น NUSA จึงพุ่งทะยานขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จากราคาที่นิ่งสนิทแถวๆ 39 สตางค์ ถูกลากขึ้นมาระดับ 1.60 บาท
และดูเหมือนจะได้รับไฟเขียวจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะแม้ราคาและมูลค่าซื้อขายจะเข้าข่ายผิดปกติ แต่ตลอด 2 เดือนที่มีการลากหุ้น NUSA ขึ้นมาอย่างร้อนแรง ตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยสอบถามบริษัทฯ เลยว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญต่อราคาหุ้นหรือไม่
และไม่เคยดำเนินมาตรการกำกับการซื้อขาย ทั้งที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 300% ภายในเวลา 2 เดือน
ตลาดหลักทรัพย์มีการเลือกปฏิบัติสำหรับหุ้นที่มีขาใหญ่ กลุ่มนายประเดช กิตติอิสรานนท์ ถือหุ้นอยู่หรือไม่ บริษัทจดทะเบียนที่เคยถูกใช้มาตรการกำกับอย่างเข้มข้นคงตั้งคำถามการทำงานของตลาดหลักทรัพย์
NUSA เป็นบริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องหลายปี มียอดขาดทุนสะสม 3,435.93 ล้านบาท และไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่มีนัยสำคัญต่อราคาหุ้น แต่หุ้นขึ้นมาตลอด ซึ่งเบื้องหลังการลากราคาหุ้นน่าจะเกี่ยวโยงกับแผนการเพิ่มทุนนำหุ้นแลกหุ้น WEH
ทำไมจะต้องแลกหุ้นกับ WEH ทำไมไม่แลกหุ้นกับบริษัทอื่นหรือบริษัทจดทะเบียนอื่น เหตุผลเพราะ กลุ่มนายประเดช นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น ถือหุ้นใหญ่ใน NUSA และถือหุ้นใหญ่รวมทั้งควบคุมการบริหารใน WEH
หลายปีมาแล้วที่นายประเดช พยายามผลักดัน WEH เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และให้สัมภาษณ์แทบทุกปีว่า WEH กำลังจะเข้าตลาดหุ้น แต่ก็ชกลมมาตลอด
เพราะ WEH มีปัญหาความขัดแย้งภายใน มีคดีฟ้องร้องอีรุงตุงนัง มีนักลงทุนขาใหญ่ที่ได้หุ้นต้นทุนต่ำ และรอที่จะเทขายหุ้นทำกำไร เมื่อหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์
ปัจจุบัน ยังมีความขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ ระหว่างกลุ่มนายประเดช กับกลุ่มนายณพ ณรงค์เดชอยู่ เพราะแต่ละฝ่ายถือหุ้นในสัดส่วนเกือบ 40% ของทุนจดทะเบียน โดยผู้ถือหุ้นรายย่อยซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% เป็นตัวแปรสำคัญ
ผู้ถือหุ้นรายย่อย WEH ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน โดย ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ แอสเซทพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เป็นผู้ประสานงานนำหุ้น WEH ไปจำหน่าย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) น่าจะตรวจสอบว่า
ขั้นตอนการนำหุ้นเสนอขายประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์หรือไม่
นักลงทุนที่ซื้อหุ้น WEH มีความปรารถนาเดียวกับนายประเดช ต้องการให้ WEH เข้าตลาดหุ้น เพราะจะร่ำรวยกันถ้วนหน้า แต่ฝันต้องสลาย
เพราะ WEH ไม่มีท่าทีที่จะเข้าตลาดหุ้นได้ง่ายๆ ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยอึดอัด และเทเสียงมาสนับสนุนนายประเดช โดยหวังว่า นายประเดช จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนได้ จนมีคะแนนเสียงโหวตชนะกลุ่มนายณพ และเข้าคุมอำนาจบริหารบริษัทเบ็ดเสร็จ
แต่ WEH ยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้นอยู่ดี
การแปรธาตุนำหุ้น NUSA และกับหุ้น WEH จึงเป็นทางออกสวยๆ ให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย WEH
แต่ผู้ได้รับประโยชน์ในเกมแปรธาตุครั้งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นักลงทุนขาใหญ่ในตลาดหุ้น “ประเดช กิตติอิสรานนท์” เพราะจะมีหลักประกันในชัยชนะ มีเสียงโหวตเหนือกลุ่ม นายณพ ณรงค์เดช
และนั่งคุมอำนาจบริหาร WEH บริษัทพลังงานทางเลือกขนาดใหญ่ที่มีกำไรปีละประมาณ 5,000 ล้านบาทอย่างเบ็ดเสร็จ
(ผู้ถือหุ้นรายย่อย WEH และผู้ถือหุ้นรายย่อย NUSA จะได้ประโยชน์อะไร อ่านต่อวันพรุ่งนี้)