xs
xsm
sm
md
lg

พรีเมียร์ แทงค์ฯ คาดเข้าเทรด Q1/65 วางเป้ารายได้ปีนี้โต-เล็งแตกไลน์โรงไฟฟ้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



'บมจ.พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น' หรือ PTC ผู้ประกอบธุรกิจคลังน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรับ เก็บ ผสม และจ่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง เตรียมขาย IPO จำนวนไม่เกิน 110 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ด้านผู้บริหารโชว์ศักยภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รุกเสริมความมั่นคงด้านพลังงานเชื้อเพลิงให้ประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่เข้าถึงพลังงานอย่างเท่าเทียม

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น (PTC) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการนับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) เพื่อเสนอหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเสนอขายหุ้น IPO โดยคาดว่าจะสามารถนำ PTC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในไตรมาสแรกปีนี้

ทั้งนี้ PTC มีจุดแข็งจากประสบการณ์ด้านการประกอบธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและรถขนส่งน้ำมันมากว่า 20 ปี ทำให้ผู้บริหารของ PTC มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการสายโซ่อุปทานของผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทยเป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถกำหนดที่ตั้งในการก่อสร้างคลังน้ำมันเพื่อเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการกระจายน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันสู่สถานบริการและผู้ใช้งาน ซึ่งพื้นที่ให้บริการปัจจุบันอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนปริมาณจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซินและดีเซลเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นเส้นทางเชื่อมโยงสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้

PTC มีทุนจดทะเบียน 205 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 150 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 110 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.83% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท

นายวีรวัฒน์ บูรพพัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTC กล่าวว่า บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน เสริมความมั่นคงทางการเงินและเพิ่มอัตรากำไรสุทธิด้วยดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งบริษัทฯ มีแผนที่จะก่อสร้างจุดรับน้ำมันทางรถไฟที่คลังศรีสะเกษ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในด้านการลดต้นทุนการขนส่งน้ำมันของลูกค้า ด้วยการเพิ่มช่องทางการขนส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า นอกเหนือจากการให้บริการการรับน้ำมันทางรถบรรทุกเพียงทางเดียว เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยวางงบลงทุนไว้ราว 110-120 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จได้ภายใน 6 เดือน

สำหรับแนวทางการเติบโตของบริษัท ประกอบด้วย 1.การเสนอบริการให้แก่ผู้ค้าน้ำมันรายอื่น โดยคลังศรีสะเกษ ถือเป็นระบบ Blending มีโอกาสเพิ่มลูกค้าจากผู้ค้าน้ำมันรายอื่น และคลังขอนแก่นมีพื้นที่เหลือ สามารถเพิ่มถังเก็บน้ำมันและเพิ่มระบบผสมน้ำมันได้ หรือเปลี่ยนดีไซน์คลังเป็นระบบ Blending

2.การให้บริการเก็บสินค้าอื่น เช่น เอทานอล หรือสารเคมีต่างๆ อีกทั้งยังมีแผนก่อสร้างจุดรับน้ำมันทางรถไฟที่คลังศรีสะเกษ

3.การขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากปัจจุบันมีการพึ่งพิงลูกค้ารายเดียว คือ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR)

4.การขยายสู่ธุรกิจอื่น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าตามนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ เพื่อขยายฐานรายได้และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้ทางเดียว

ส่วนการเติบโตของรายได้ในปี 65 คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 61-63 บริษัทมีรายได้จากการให้เช่าและบริการรับ เก็บ และจ่ายน้ำมันในปี 61 จากคลังน้ำมันขอนแก่นเพียงแห่งเดียว 161.97 ล้านบาท และต่อมาในปี 62 มีรายได้ 176.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.19% และปี 63 มีรายได้ 253.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.29% โดยช่วงปี 62-63 รายได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเปิดคลังศรีสะเกษในเดือน ก.ค.62

ขณะที่กำไรสุทธิในปี 61-63 ทำได้ 75.42 ล้านบาท 55.43 ล้านบาท และ 111.06 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 45.68% 31.28% 43.76% ตามลำดับ โดยในปี 63 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 100.37% เนื่องจากคลังน้ำมันศรีสะเกษเปิดให้บริการเต็มปี ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวต่อเนื่อง

ส่วนในงวด 9 เดือนแรกปี 64 บริษัทฯ มีรายได้ 166.29 ล้านบาท ลดลง 11.13% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงตามยอดจำหน่ายน้ำมันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีโรงงานบางส่วนหยุดการผลิต ทำให้การเดินทางโดยรถยนต์ลดลง ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 72.23 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 8.98% แต่อัตรากำไรสุทธิกลับปรับตัวดีขึ้นเป็น 43.33% เพิ่มขึ้น 0.98% จากงวด 9 เดือนของปี 63 ซึ่งกำไรสุทธิชะลอตัวเนื่องจากรายได้จากการให้เช่าและบริการลดลง อย่างไรก็ดี บริษัทมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารและต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงทำให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นจากงวด 9 เดือนแรกของปีก่อน

นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทมีความเสี่ยงหลักอยู่ 3 ข้อ ได้แก่ การพึ่งพิงลูกค้าที่เป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่รายเดียว ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง 2 ข้อ คือ การไม่ได้รับการต่อสัญญา และต่อสัญญาด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งมองว่าการที่ OR มีสถานีบริการน้ำมันในรูปแบบ DODO ค่อนข้างมาก การมีคลังน้ำมันกระจายอยู่ในทุกพื้นที่จะส่งผลดีต่อ OR จึงมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่มากนัก

ปัจจุบันคลังขอนแก่น มีระยะสัญญา 10 ปี นับตั้งแต่ 1 ต.ค.57 ถึง 30 ก.ย.67 คลังศรีสะเกษ มีระยะสัญญา 3 ปี นับตั้งแต่ 1 พ.ค.62 ถึง 30 เม.ย.65

นายวีรวัฒน์ กล่าวถึงการแข่งขันและการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ว่า จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของการขนส่งให้ประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และความต้องการใช้น้ำมันลดลงจากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมองว่าในระยะ 5-10 ปีนี้ จะยังไม่มีนัยสำคัญ จากปัจจัยที่ยังไม่เอื้อ ไม่ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ยังอยู่ในระดับสูง สถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมาตรการสนับสนุนของภาครัฐต่อการสร้างฐานการผลิตรถ EV ในประเทศยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม มอง EV เป็นโอกาสในระยะนี้เช่นกัน เนื่องด้วยผู้ค้าน้ำมันทุกรายจะไม่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงแล้ว ก็จะสนับสนุนแนวคิดอง PTC ที่เป็น Infrastructure Sharing

"เรามุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์โดยการทำงานร่วมกัน (Synergistic Strategic Alliance) กับทั้งลูกค้า คู่ค้า รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายการทำธุรกิจให้เจริญเติบโตร่วมกันจากการแบ่งปันความรู้ความสามารถ การแบ่งและบริหารความเสี่ยงต่อองค์กร และนวัตกรรมต่างๆ จากพันธมิตรของบริษัท เพื่อให้บรรลุเป้าหมายหลักในการเชื่อมโยงระบบการขนส่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงสุด นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างวางแผนขยายตลาดเพื่อแสวงหาลูกค้าในกลุ่มสถานีบริการน้ำมันรายใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยใช้บริการรับน้ำมันจากคลังของบริษัทฯ หรือเข้ามารับในปริมาณไม่มาก เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียลูกค้าและสร้างการเติบโตในอนาคต" นายวีรวัฒน์ กล่าว

PTC เป็นผู้ให้บริการที่มีบทบาทสำคัญในการกระจายน้ำมันเชื้อเพลิงให้สถานีบริการน้ำมันครอบคลุมทั่วทั้งภาคอีสาน โดยมีลักษณะการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย 1.บริการรับ เก็บ และจ่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปประเภทเบนซินและดีเซล ให้บริการที่คลังน้ำมันจำนวน 2 แห่ง คือ

คลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่จังหวัดขอนแก่น (คลังขอนแก่น) ตั้งอยู่ในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น มีขนาดพื้นที่คลังประมาณ 37 ไร่ มุ่งเน้นให้บริการกลุ่มลูกค้าในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเป็นหลัก

ปัจจุบัน มีถังเก็บน้ำมันเพื่อให้บริการจำนวน 10 ถัง ปริมาตรรวมประมาณ 9.0 ล้านลิตร สามารถรองรับการเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงได้หลากหลายประเภทตามความต้องการที่มีในประเทศไทย โดยคลังน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวมีความสามารถรับและจ่ายน้ำมันได้สูงสุดประมาณปีละ 1,400 ล้านลิตร และ 1,400 ล้านลิตร ตามลำดับ คิดเป็นการจ่ายน้ำมันให้แก่รถบรรทุกน้ำมันได้ประมาณ 296 คัน/วัน สำหรับรถบรรทุกน้ำมันขนาด 16,000 ลิตร

คลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่จังหวัดศรีสะเกษ (คลังศรีสะเกษ) ตั้งอยู่บน ถนนศรีสะเกษ-อุบลราชธานี อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ มีขนาดพื้นที่คลังประมาณ 74 ไร่ มุ่งเน้นให้บริการกลุ่มลูกค้าหลักในจังหวัดต่างๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง

ปัจจุบัน มีถังเก็บน้ำมัน 10 ถัง ปริมาตรรวมประมาณ 9.70 ล้านลิตร สามารถรองรับการเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป น้ำมันเชื้อเพลิงพื้นฐาน และน้ำมันชีวภาพได้หลากหลายประเภท โดยสามารถรับและจ่ายน้ำมันได้สูงสุดประมาณปีละ 830 ล้านลิตร และ 770 ล้านลิตร ตามลำดับ คิดเป็นการจ่ายน้ำมันให้แก่รถบรรทุกน้ำมันประมาณ 152 คัน/วัน สำหรับรถบรรทุกน้ำมันขนาด 16,000 ลิตร

2.บริการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงพื้นฐานตามสูตร เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปตามที่ลูกค้าต้องการ ให้บริการที่คลังศรีสะเกษ ด้วยการเพิ่มบริการการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอินไลน์ (Inline Fuel Blending) ในกระบวนการให้บริการ ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถให้บริการแก่สถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันได้หลายราย และกลายเป็นผู้ให้บริการจ่ายน้ำมันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน-ล่าง


กำลังโหลดความคิดเห็น