xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้องคดี “สุนันท์” หมิ่น “ชญานี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาลอุทธรณ์ยืนคำตัดสินศาลชั้นต้น ยกฟ้อง “สุนันท์ ศรีจันทรา” คดีหมิ่นประมาท "ชญานี-ชยันต์" อดีตผู้บริหารบล.เอเชียเวลท์ ระบุเขียนข่าวตามความเป็นจริง

เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ กรุงเทพใต้ ได้อ่านคำวินิจฉัย คดีที่ น ส.ชญานี โปขันเงิน และนายชยันต์ อัคราทิตย์ อดีตผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุนันท์ ศรีจันทรา เจ้าของคอลัมน์ชุมชนคนหุ้น หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360องศา ในความผิดฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายในทางแพ่ง

ข้อความในคอลัมน์ชุมชนคนหุ้น หัวข้อ “เอเชียเวลท์” ประกาศสงคราม(1) ซึ่งระบุว่า ผู้บริหารเอเชียเวลท์ เป็นโบรกเกอร์ที่มีข่าวฉาวโฉ่อยู่บ่อยครั้ง โดยกลางปี 2560 น.ส.ชญานี และนายชยันต์ เคยถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษในความผิดปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีการใช้ข้อมูลภายในแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น และถูกพักใบอนุญาตเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ 1 ปี

ข้อความในคอลัมน์ชุมชนคนหุ้น หัวข้อ “เอเชียเวลท์” ประกาศสงคราม(จบ) ซึ่งระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ 2 กรณีติดๆ ทั้งการที่สองผู้บริหารระดับสูง ถูก ก.ล.ต.กล่าวในความผิดปกปิดบิดเบือนข้อมูลคดีการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น และถูกตลาดหลักทรัพย์ปรับ 5.85 ล้านบาท ฐานปล่อยให้ลูกค้าต่างชาติขายหุ้นโดยไม่มีใบหุ้นในครอบครอง ซึ่งทั้ง 2 คดี ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรโดยตรง

และผู้ถือหุ้น และคณะกรรมการบริษัทควรพิจารณาหามาตรการแก้ไขข้อจุดบกพร่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอย ไม่ใช่โทษคนอื่น อาละวาดไปทั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่น.ส.ชญานี โปขันเงิน ผู้บริหาร “เอเชียเวลท์” กำลังทำอยู่

ข้อความในคอลัมน์ชุมชนคนหุ้น หัวข้อ โบรกเกอร์มาเฟีย(1) ระบุว่า เสียงร่ำลือเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด มีมานานแล้ว และเสียงร่ำลือที่ดังกระหึ่มในแวดวงธุรกิจหลักทรัพย์ไม่เกินเลยจากความเป็นจริงแต่อย่างใด ถ้าเทียบกับพฤติกรรมผู้บริหารบริษัทโบรกเกอร์แห่งนี้

โดยถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษและถูกตลาดหลักทรัพย์ปรับ และยังเปิดศึกทะเลาะกับผู้บริหารบริษัทโบรกเกอร์อื่น จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสม

แต่ผู้บริหารโบรกเกอร์แห่งนี้กลับหมกมุ่นแต่ความขุ่นเคือง คิดแต่การตอบโต้ทำลายคนอื่น และก่อพฤติกรรมที่เลวร้ายหนักกว่าเดิม โดยเฉพาะการกระทำที่เข้าข่ายคุกคาม แทรกแซง ปิดกั้น ริดลอนสิทธิเสรีภาพการนำเสนอของสื่อมวลชน ใช้งบโฆษณาเป็นเครื่องมือต่อรอง เพื่อปิดปากสื่อมวลชนที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์

และข้อความในคอลัมน์ชุมชนคนหุ้น หัวข้อ โบรกเกอร์มาเฟีย(จบ) ระบุว่า ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด ก่อคดีจนถูกหน่วยงานที่กำกับดูแลสั่งลงโทษติดต่อกัน 2 คดีแล้ว ภาพลักษณ์องค์กรเอเชียเวลท์ก็แทบล้มละลาย ภายใต้คณะผู้บริหารชุดปัจจุบัน ซึ่งเปิดศึกท้ารบไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือแม้แต่คนในแวดวงธุรกิจหลักทรัพย์

และลามปามไปถึงการกระทำที่เข้าข่ายคุกคาม แทรกแซงเสรีภาพสื่อมวลชน โดยใช้อำนาจในฐานะผู้ให้การสนับสนุนโฆษณา ต่อรองและกดดันให้สำนักข่าวที่เสนอข่าวสารการลงทุนถอดคอลัมน์ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมตัวเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อสังคม ซึ่งถ้าปล่อยให้คนที่มีพฤติกรรมไม่ดีเติบโต สังคมจะตกต่ำ วุ่นวาย ไร้กติกา จำเลยเบิกความว่า บทความตามคำฟ้องเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต เพื่อเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานโจทก์ร่วมทั้งสอง ซึ่งเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นตัวแทนของสมาชิกในการซื้อขายผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน เป็นผู้ให้คำแนะนำการลงทุนแก่ประชาชนทั่วไป

โดยบุคคลที่จะเป็นบุคลากรในตลาดทุนได้นั้นต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้ใจของประชาชน จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสอง ไม่ได้ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย ไม่ได้ใส่ความโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับค่าเสียหาย

ศาลวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเขียนข่าวรายงานข้อเท็จจริงที่โจทก์ร่วมทั้งสอง ถูก ก.ล.ต.ลงโทษ สั่งพักใบอนุญาตการเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ปี มีเจตนาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้บุคคลทั่วไปและผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับทราบกฎหมาย ก.ล.ต.

ถือได้ว่าจำเลยรายงานข้อเท็จจริงตรงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง นับว่ามีเหตุผลสมควรและสอดคล้องกัน จึงไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความให้โจทก์ร่วมทั้งสองเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง

สำหรับข้อความอื่นๆ ที่สืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ร่วมทั้งสองกระทำความผิดและถูก ก.ล.ต.ลงโทษ โดยจำเลยใช้ข้อความในลักษณะทำนองไม่สุภาพ ไม่เรียบร้อย เพื่อให้ผู้อ่านสนใจ และเป็นการดึงดูดให้ติดตามข่าวของโจทก์ร่วมทั้งสองเท่านั้น จึงไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความ การกระทำของจำเลยส่วนนี้จึงไม่มีความผิด

โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น

สำหรับ น.ส.ชญานี โปขันเงิน เคยทำงานกับ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.เอเซียพลัส บล.ฟิลลิป บล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.เอเชียเวลท์ โดยหลังจากหมดสัญญาจ้าง 5 ปี บล.เอเชียเวลท์ ไม่ต่อสัญญา ซึ่ง น.ส.ชญานี พร้อมทีมผู้บริหารได้ฟ้องศาลแรงงาน เรียกค่าชดเชย โดยนำรายได้จากส่วนแบ่งค่านายหน้ามาคำนวณค่าชดเชย แต่ศาลแรงงานตัดสินยกคำร้อง ล่าสุด คือผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ก่อนจะมีคดีความฟ้องร้องตามมา




กำลังโหลดความคิดเห็น