กลุ่มทิสโก้ เปิดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ปี 2565 เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และมีความเปราะบาง ชูธีมบริการแบบ “Hybrid Advisory” ตอบโจทย์ลูกค้ายุค COVID Disruption มุ่งเป็นที่ปรึกษาที่ดี ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่า พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับบริการให้ลูกค้า ขณะที่ผลประกอบการในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 6,781 ล้านบาท เติบโต 11.8% และยังคงความระมัดระวังด้วยระดับเงินสำรอง Coverage ratio สูงถึง 236.7% พร้อมเงินกองทุนที่แข็งแกร่งที่ BIS ratio 25.2%
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ในปี 2565 จะให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพภายใต้รูปแบบการให้บริการที่เน้นตอบโจทย์ลูกค้าในธีม "Hybrid Advisory" ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการให้ "คำแนะนำที่ดี" ควบคู่กับการมี "ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม" ให้แก่ลูกค้า รวมถึงการนำ "เทคโนโลยี" เข้ามาช่วยยกระดับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนั้น ตั้งเป้าหมายสินเชื่อรวมเติบโตที่ระด้บ 4-5% จาก 2 ปีก่อนที่สินเชื่อรวมหดตัวมาตลอด นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งจะเน้นที่สินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง สินเชื่อจำนำทะเบียน และสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มองว่ากลุ่มพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะเติบโตได้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างช้าที่ระดับ 3.3% ในปีนี้
"เศรษฐกิจไทยเข้าสู่โหมดของการทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron และโอกาสการกลายพันธุ์ที่ยังไม่จบ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกจึงเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง จากนั้นหากสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะเร่งระดับของการเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่การให้บริการจะเห็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน กับจุดแข็งของความเชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี (Top Advisory) ที่กลุ่มทิสโก้มุ่งเน้นมาโดยตลอดมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้า พร้อมแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ"
สำหรับยุทธศาสร์การเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจของทิสโก้กำหนดเป้าหมายไว้ ดังนี้
กลุ่มธุรกิจรายย่อย จะมุ่งสนับสนุนเงินให้สินเชื่อแก่ลูกค้าเช่าซื้อ จำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อเพื่อการบริโภค ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 3-4% ผ่านช่องทางสาขาธนาคารทิสโก้ การขยายสาขา "สมหวัง เงินสั่งได้" เพิ่มเป็น 400 แห่ง โดยกระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ อย่างทั่วถึง เพื่อให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินและความรู้ทางการเงินได้มากขึ้น พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ และแสวงหาโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) กลุ่มรถบรรทุก เป็นต้น รวมถึงเพิ่มช่องทางบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น
ธุรกิจนายหน้าประกันภัย จะให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบคู่ขนานทั้งการสานต่อและขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ รวมทั้งพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจอื่น เพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการเข้าถึงลูกค้าแบบ Customer Touchpoint และเพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
กลุ่มธุรกิจบรรษัท จะยังคงใช้จุดแข็งในการบริหารงานแบบรวมศูนย์ (Centralized) ที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการวาณิชธนกิจ เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจรในลักษณะ Total Solution ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรอบด้านและดีที่สุด (Best Solution)
กลุ่มธุรกิจธนบดีและจัดการกองทุน จะเดินหน้าบริการออกแบบแผนการเงินเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการวางแผนการเงินในเชิงลึกตามแนวทางการบริหารความมั่งคั่งแบบองค์รวม (Holistic Financial Advisory) ของทิสโก้ และรองรับเทรนด์สังคมอายุยืน (Aging Society) ที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย โดยครอบคลุมทั้งการวางแผนการลงทุน การคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ และการวางแผนเกษียณ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละรายได้อย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ จะมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Mass-affluent มากขึ้น ผ่านบริการลงทุน นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และที่ปรึกษาการลงทุน
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ สิ้นปีอยู่ที่ระดับ 2.44% จากจุดสูงสุดของปีก่อนที่ระดับ 3.9% โดยมุมมองในปีนี้เอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากสินเชื่อที่เรามุ่งเน้นเป็นกลุ่ม high yiled ซึ่งก็จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่าการปรับตัวขึ้นนั้นคงจะไม่เท่าระดับสูงสุดของปีก่อน เพราะธนาคารเองยึดถือแนวทางการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบมาโดยตลอด โดยปัจจุบันธนาคารยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 25.2% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 20.2% และ 5.0% ตามลำดับ ขณะที่แนวทางการตั้งสำรองในปีนี้นั้นน่าจะมีระดับที่ลดลงจากช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ธนาคารตั้งสำรองสูงถึง 3,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 ตั้งสำรองที่ 1,000 ล้านบาท และในปีนี้การตั้งสำรองยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวังที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท
"ผลการดำเนินงานในปี 2564 ขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ โดยมีกำไรสุทธิ 6,781 ล้านบาท เติบโต 11.8% จากปี 2563 ขณะเดียวกัน ทิสโก้ยังสามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ได้อย่างทันท่วงที ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น คืนรถจบหนี้ ขายรถปิดหนี้ มาตรการช่วยเหลือระยะที่ 3 เป็นต้น โดยโครงการคืนรถจบหนี้ที่สิ้นสุดโครงการลงทั้ง 2 เฟสเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ทิสโก้สามารถให้ความช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วกว่า 3,800 ราย ทั้งนี้ แม้จะสิ้นสุดโครงการไปแล้ว แต่หากลูกค้าเช่าซื้อและจำนำทะเบียนรถยนต์ของทิสโก้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ระลอกใหม่สามารถเข้ามาขอความช่วยเหลือจากทิสโก้ได้ โดยที่บริษัทจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้" นายศักดิ์ชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มทิสโก้ยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ และมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมปรับตัวและพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเดินหน้าปลูกฝังวัฒนธรรมดิจิทัลและการใช้ Big Data ให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ