บล.เอเซียพลัส หวั่นรัฐบาลเก็บภาษีขายหุ้น กดดันตลาดหุ้นผันผวน ฉุดมูลค่าการซื้อขายตลาดหดตัว กระทบหุ้นขนาดกลาง-เล็ก mai ถูกขายทำกำไร ด้านยูโอบีฯ มองแนวโน้มตลาด 2 เดือนแรก เห็น 1,700-1,740 จุด แนะนักลงทุนแบ่งขายทำกำไร เลือกถือบางส่วนที่คาดราคาขึ้นน้อยกว่าตลาด พร้อมเชียร์เก็งกำไรหุ้นที่ราคายัง Laggard
ASPS คาดหากรัฐเก็บภาษี กดดันตลาดหุ้นผันผวน
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.เอเซียพลัส ระบุว่า กรณีที่ภาครัฐเตรียมพิจารณากลับมาเก็บภาษีขายหุ้นอีกครั้งนั้น หากกลับมาจัดเก็บภาษีจริง ASPS คาดว่าจะส่งผลกระทบตลาด ดังนี้
1.มูลค่าการซื้อขายหดตัวลง โดยเฉพาะจากนักลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนในการซื้อขายสูงถึง 49% สังเกตจากโครงสร้างมูลค่าซื้อขายรายปีที่สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดอยู่ระดับ 43.9% ซึ่งหากนักลงทุนรายย่อยโดนผลกระทบ ส่งผลให้หุ้นขนาดเล็กมีความน่าสนใจน้อยลงตามลำดับ เนื่องจากเป็นเป้าหมายของนักลงทุนรายย่อยอยู่แล้ว
2.หุ้นขนาดเล็กขึ้นมาแรงมากในปีที่ผ่านมา มีโอกาสถูกขายทำกำไรช่วงเวลาที่สภาพคล่องในระบบการเงินลดลงเช่นเดียวกับในอดีต เนื่องจากสภาพคล่องที่ล้นระบบ หนุน MAI Index ในปีที่แล้วปรับขึ้นแรงกว่า 73% ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่อย่าง SET50 Index ขึ้นเพียง 8.8% ซึ่งสอดคล้องกับในอดีตช่วงปี 57 สภาพคล่องล้นระบบ MAI ก็ขึ้นแรงเช่นกัน แต่หลังจากนั้น ช่วงที่นโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้น หุ้นขนาดเล็กเริ่ม Underperform แต่หุ้นขนาดใหญ่จะกลับมา Outperform แทน
ดังนั้น หากรัฐปฏิบัติจริงถือว่ากดดันตลาดหุ้นให้ผันผวน ทั้งในมุมผลตอบแทนและมูลค่าซื้อขายที่ลดลง โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาร้อนแรงและไม่มีพื้นฐานรองรับ
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน เน้นสะสมหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ แนะนำ KBANK (ได้ประโยชน์นโยบายการเงินตึงตัว) STEC (ราคา Laggard และมี Backlog รองรับ) IVL (เป็นกลุ่มหุ้นที่ Outperform ในช่วงนี้ และผลประกอบการงวด 4Q64 เติบโตเด่นกว่าในอดีต) เป็น Top picks
ยูโอบีฯ คาด 2 เดือนแรกของปีได้เห็น SET 1,700-1,740 จุด
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยต้นปี 65 เป็นบวก เพราะถ้อยแถลงของประธานเฟด ชี้ว่า ระหว่างนี้จนถึงก่อนประชุมเดือน มี.ค.เฟดจะไม่ดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวที่จะกระทบต่อตลาดหุ้นรุนแรง จึงมองตลาดหุ้น 2 เดือนแรกของปีนี้เป็นบวกต่อการเก็งกำไร ให้เป้าดัชนี 1,667-1,690 จุด และคาดว่าในช่วง 2 เดือนนี้จะได้เห็น 1,700 จุด
มองว่าในโซน 1,700-1,740 จุด เป็นจุดที่อัปไซด์ (upside) ตลาดเหลือน้อย ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ราคาปรับขึ้นมากแล้ว แนะนำให้แบ่งขายทำกำไร และเลือกถือบางส่วนที่ราคายังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด
สำหรับหุ้นที่แนะนำเก็งกำไร ราคายัง Laggard ได้แก่ กลุ่มการเงิน TIDLOR ราคาเป้าหมาย 53 บาท SAWAD เป้า 75 บาท MTC เป้า 71 บาท ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะถูกเก็งกำไรขึ้นมา กลุ่มธนาคารก็น่าสนใจ แต่ผลประกอบการไตรมาส 4/64 ที่จะประกาศออกมาคาดว่าจะอ่อนแอ แต่จะฟื้นตัวดีในไตรมาส 1/65 จึงแนะนำรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ส่วนหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการเด่นในอนาคต IVL เป้า 65 บาท BANPU เป้า 14.40 บาท และ PTTEP เป้า 145 บาท
ขณะที่หุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กที่น่าสนใจ พวกหุ้น IPO ที่เข้าตลาดใน 1-2 ปีที่ผ่านมา ทิศทางผลประกอบการปีนี้จะฟื้นตัวดี ราคายังน่าสนใจ ได้แก่ ONEE แนะนำในเชิงกลยุทธ์ ราคาเชิงกลยุทธ์ที่ 13.50 บาท IND ราคาเชิงกลยุทธ์ 2.50 บาท และ ASW ราคาเชิงกลยุทธ์ 9.50 บาท