xs
xsm
sm
md
lg

นักวิเคราะห์คาดอานิสงส์ควบรวม "แม็คโคร โลตัสส์" ต้นทุนลด 2% หวังโอมิครอนจบเร็ว ค้าปลีกฟื้นตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยุคสมัยนี้การแข่งขันในโลกธุรกิจทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าอดีตอย่างมาก หลายบริษัทเจอความท้าทายต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจที่ผันผวน และการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งในอุตสาหกรรม และยังมาเจอเชื้อกลายพันธุ์อย่างโอมิครอน แต่ยังพอมีข่าวดีที่นักวิชาการพบว่า ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง และโอมิครอนอาจเป็นจุดจบของโควิด ด้วยการสร้างภูมิแบบธรรมชาติ ทำให้การเข้าสู่ปีใหม่นี้เป็นการเริ่มต้นฟ้าสว่างของธุรกิจหลายกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก

ในช่วงที่ผ่านมา ค้าปลีกได้รับผลกระทบแต่ผู้เล่นหลักอย่างแม็คโคร และโลตัสส์ ได้เรียนรู้วิชาใหม่ คือ วิชาการบริหารต้นทุน ซึ่งจะยิ่งเห็นเป็นรูปธรรมหลังการควบรวมที่พบว่ามีกระบวนการหลังบ้านเยอะมากที่สามารถทำงานร่วมกันได้ และยังสามารถใช้เทคโนโลยีมาทำให้เกิดความรวดเร็ว และนำคนไปทำเรื่องใหม่แทน ทำให้ต้นทุนลดลง และยังทำเรื่องใหม่ที่สร้างรายได้ใหม่ด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างมองว่า อานิสงส์การควบรวม จะสามารถลดต้นทุนได้อย่างน้อย 2% ของยอดรายได้รวม และหากต้นปีเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวจะทำให้กลุ่มค้าปลีกมีกำไร และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เชื่อว่าจุดแข็งของแม็คโครที่เป็นอันดับ 1 ในธุรกิจ B2B ขณะที่โลตัสส์เป็นอันดับ 1 ในตลาดแบบ B2C จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มได้ดียิ่งขึ้น ด้วยช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงศักยภาพในการจัดซื้อสินค้าที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลดลง และการใช้ระบบงานหลังบ้านร่วมกัน หรือการลงทุนพัฒนาดิจิทัล จะช่วยลดต้นทุนได้ด้วย คาดว่าจะเห็นตัวเลขการลดต้นทุนได้อย่างชัดเจนจากการปรับปรุงระบบร่วมกัน และหากระบบขนส่งสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพบวกช่องทางการขายที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริม ตั้งเป้าขยายธุรกิจแบบ O2O คือออนไลน์กับออฟไลน์ คือการใช้ระบบออนไลน์เข้ามาช่วยจะทำให้เกิดการลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก

ด้านนาง เสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร สายงาน Group Shared Service พูดถึงผลประกอบการแม็คโครก่อนรวมกับโลตัส ในปี 2020 ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเติบโตลดลง -6% แต่แม็คโครเติบโต ถัวเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังคือเติบโต 9% ใน 10 ปีที่ผ่านมาเป็นหลักประกันว่าจะเติบโตต่อไป คาดว่ารวมตัวกันแล้วจะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา โควิดกระทบหนักกว่าปี 2020 แต่ยังเติบโตถึง 2.7% ปิดยอดรายได้ที่ 1.66 แสนล้านบาท ส่วน EBITDA เติบโตในสัดส่วนเดิมแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันให้พนักงาน ลูกค้าปลอดภัย ให้ขนส่งสินค้าไม่สะดุด แต่ยังรักษากำไรสุทธิเติบโตถึง 4% ในปี 2020 งบเสมือนเมื่อรวมโลตัสยอดรายได้เติบโตเกือบ 100% ถือว่าเติบโตมากกว่าก้าวกระโดด เติบโตจาก 2.18 แสนล้านบาท เติบโตเป็นเกือบ 4.3 แสนล้านบาท เติบโตมากกว่าก้าวกระโดด ปี 2021 ผลกระทบโควิดรุนแรง แต่การเติบโตของเราที่รวมตัวกันไม่ได้แตกต่างจากเดิม โลตัสเป็นธุรกิจที่ทำกำไรขั้นต้นได้ดีเพราะมีสินค้าหลากหลายกว่าแม็คโคร เมื่อรวมโลตัส EBITDA เติบโตกว่าเดิมมากกว่า 2 เท่าจาก 1.2 หมื่นล้านบาท เป็น 3.4 หมื่นล้านบาท อนาคตถือเป็นการรวมตัวของสองตัวที่แข็งแกร่งทั้งคู่ ความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินที่ไม่ได้แตกต่างกันเลย


กำลังโหลดความคิดเห็น