หุ้นไทยปิดตลาดปรับเพิ่มขึ้น 4.54 จุด โบรกฯ ชี้ปัจจัยหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กนง.เพิ่มคาดการณ์ GDP ส่งผลให้มีแรงซื้อคืนกลุ่มธนาคารตามมุมมองด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และหุ้นกลุ่มพลังงานตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว มองแนวรับที่ 1,610 จุด และแนวต้าน 1,640 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 22 ธันวาคม 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +4.54 จุด หรือ +0.28% โดยมาอยู่ที่ 1,626.79 จุด มูลค่าการซื้อขาย 60,938.22 ล้านบาท โดยในระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,632.33 จุด และปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,624.77 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 585 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 646 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 854 หลักทรัพย์
ขณะที่ปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า 497.21 ล้านบาท และบัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า 200.07 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -424.31 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -272.97 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
1.GPSC ปิดที่ 83.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,731.29 ล้านบาท
2.BRI ปิดที่ 11.60 บาท ลดลง -0.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,457.76 ล้านบาท
3.EA ปิดที่ 92.00 บาท ลดลง -1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,989.02 ล้านบาท
4.CPALL ปิดที่ 58.50 บาท ลดลง -0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,582.54 ล้านบาท
5.KBANK ปิดที่ 137.00 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,430.52 ล้านบาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.DELTA ปิดที่ 414.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท หรือ 3.50%
2.RBF ปิดที่ 23.10 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท หรือ 11.06%
3.JMART ปิดที่ 56.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 3.23%
4.GPSC ปิดที่ 83.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.53%
5.SYNEX ปิดที่ 34.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 2.22%
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่ 216.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.92%
2.CBG ปิดที่ 119.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.24%
3.RATCH ปิดที่ 44.25 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 2.21%
4.EA ปิดที่ 92.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 1.08%
5.SCC ปิดที่ 378.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 0.26%
ส่วนดัชนี SET100 ปิดที่ 2,210.81 จุด เพิ่มขึ้น 6.47 จุด หรือ 0.29% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 965.38 จุด เพิ่มขึ้น 2.56 จุด หรือ 0.27% ส่วนดัชนีตลาด mai ปิดที่ 568.46 จุด เพิ่มขึ้น 3.42 จุด หรือ 0.61%
บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนยังคงผ่อนคลาย และมีเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก แม้การแพร่ระบาดของโอมิครอนจะอยู่ในช่วงเร่งตัวทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ และกลายเป็นสายพันธุ์หลัก แต่ตลาดเชื่อว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่สูงและไม่กินเวลานานหากความรุนแรงของโรคต่ำอย่างในปัจจุบัน ส่วนสถานการณ์ในไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดเร่งตัวในช่วงคาบเกี่ยวเทศกาลปีใหม่ แต่ยังมีแรงประคองจากมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายในปีหน้าทั้งช้อปดีมีคืน และคนละครึ่งเฟส 3 ระยะสั้น
"บรรยากาศหุ้นไทยวันนี้ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก หลังนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่ล็อกดาวน์ประเทศเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ด้านราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นทำให้หุ้นพลังงานปรับตัวตาม และยังมีปัจจัยในประเทศจากมาตรการช้อปดีมีคืนที่คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ในระบบเศรษฐกิจกว่า 4 หมื่นล้านบาท"
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า SET Index ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยมีแรงซื้อคืนในหุ้นกลุ่มพลังงานตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว และกลุ่มธนาคารตามมุมมองด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมไปถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการช้อปดีมีคืน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายเป็นไปอย่างเบาบางเพียง 6 หมื่นล้านบาท เพราะขาดปัจจัยบวกลบใหม่ๆ ที่จะผลักดันให้ตลาดเลือกทิศทางที่ชัดเจน
ส่วนแนวโน้มวันที่ 23 ธ.ค. คาดว่า SET Index จะแกว่งทรงตัวในกรอบ 1,620-1,630 จุด แนะนำเลือกเก็งกำไรเป็นรายตัวในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ หรือกลุ่มส่งออกที่ได้ผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท เช่น CCET
ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์สอดคล้องตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่เริ่มจากปลายปีนี้ต่อเนื่องปี 65 อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 64 เป็น 0.9% จากการประเมินครั้งก่อนอยู่ที่ 0.7% ขณะที่ในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 3.4% และปี 66 ที่ 4.7% แต่ยังกดดันจากการยกเลิกมาตรการ Test&Go ชั่วคราวในช่วงวันที่ 21 ธ.ค.64-4 ม.ค.65 ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (23 ธ.ค.) ตลาดน่าจะแกว่งไซด์เวย์เพื่อรอปัจจัยใหม่ๆ พร้อมให้แนวรับที่ 1,610 จุด และแนวต้าน 1,640 จุด