นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บล.คิงส์ฟอร์ด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ.เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส (TKC) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 78 ล้านหุ้น คิดเป็น 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีมูลค่าที่ตราไว้ (Par value) 1.00 บาทต่อหุ้น โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในช่วงไตรมาส 1/65
นายสยาม เตียวตรานนท์ กรรมการผู้จัดการ TKC เปิดเผยว่า ทิศทางผลประกอบการในปี 65 ยังมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 3/64 บริษัทตุนงานในมือ (Backlog) กว่า 2,346 ล้านบาท และในเดือน พ.ย. บริษัทได้ชนะการประมูลงานเข้ามาเพิ่มเติมจากโครงการ Real-Time Passenger Counting/Smart Airport มูลค่า 350 ล้านบาท และโครงการเกี่ยวกับการอบรมด้าน Cyber Security มูลค่า 101 ล้านบาท โดยงานโคงการต่างๆ ที่ได้รับมาจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในระยะเวลา 2-3 ปี
ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมจะเติบโต 3-5% โดยได้รับอานิสงส์จากการสนับสนุนของภาครัฐตามนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้มีการลงทุนในเทคโนโลยี 5G และการก่อสร้างระบบเครือข่ายและอุปกรณ์สื่อสารชนิดต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ตามการเติบโตของความต้องการใช้ข้อมูล Non-Voice ที่ขยายตัวจากการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ และรายได้จากธุรกิจ Fixed Broadband ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การบริการที่ประยุกต์ใช้ 5G มีแนวโน้มขยายมากขึ้น เช่น บริการ Cloud Data Center ยานยนต์ไร้คนขับ และ Smart Solutions ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้ธุรกรรมออนไลน์ การเก็บข้อมูลและประมวลผลโดยใช้ Cloud การใช้งานอุปกรณ์ IoT ที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้มีความต้องการด้าน Cyber Security มากขึ้นเพื่อป้องกันข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์
โดยบริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญและชำนาญด้านการวางระบบเครือข่ายสื่อสารและเทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจให้บริการรับเหมาออกแบบ วางระบบ จัดหาอุปกรณ์ ติดตั้ง ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบงานวิศวกรรมในสายงานระบบโทรคมนาคม ระบบสื่อสารข้อมูล และระบบความปลอดภัยสาธารณะ โดยบริษัทฯ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเจ้าของผลิตภัณฑ์โทรคมนาคม และเครือข่ายสารสนเทศชั้นนำระดับโลก เช่น Huawei, Nokia, Cisco, Verint, Oracle, Netka System, XOVIS, Fortinet เป็นต้น ให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
การให้บริการแบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน ได้แก่ โครงการรับเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Project หรืองานโครงการ) งานบริการวิศวกรรมและงานบำรุงรักษา และงานจัดจำหน่ายอุปกรณ์ โดยบริษัทฯ จัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบโทรคมนาคม ระบบสื่อสารข้อมูล และระบบความปลอดภัยสาธารณะ สินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรทางธุรกิจ โดยบริษัทถือหุ้นในบริษัทย่อย 2 แห่ง คือ บริษัท ไอบีเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (IBS) และบริษัท พาราไดม์ เทคโนโลยี เซอร์วิส จำกัด (PTS) ซึ่งประกอบธุรกิจที่เสริมธุรกิจของบริษัท โดยโครงสร้างรายได้ในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มาจากงานโครงการมากกว่า 64% รายได้จากงานบริการและบำรุงรักษากว่า 35% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากงานจัดจำหน่าย
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ เช่น โครงการเกี่ยวกับระบบโทรคมนาคม ระบบโครงข่ายสื่อสัญญาณ (Transmission Networks) ระบบศูนย์ข้อมูลหลัก ศูนย์ข้อมูลสำรอง ระบบคลาวด์ Smart Solutions ระบบวิทยุสื่อสารดิจิทัลและระบบตรวจสอบเฝ้าระวังและการบริหารความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Security) รวมถึงงานบริการเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง เป็นต้น
ด้าน น.ส.เดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพการเติบโตของ TKC ด้วยจุดแข็งและกลยุทธ์ในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในระยะเวลามากกว่า 18 ปี บริษัทมุ่งมั่นพัฒนา ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์การทำงานด้านรับเหมาการสื่อสารและโทรคมนาคม ทำให้เข้าใจอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี อีกทั้งการเตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากร ผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอนาคต มีระบบการควบคุมบริหารจัดการแต่ละส่วนงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (61-63) บริษัทมีรายได้รวมในปี 61-63 อยู่ที่ 3,669.65 ล้านบาท 4,907.25 ล้านบาท และ 2,881.92 ล้านบาทตามลำดับ มีกำไรสุทธิ 216.50 ล้านบาท 423.03 ล้านบาท และ 232.85 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนในงวด 9 เดือนแรกของปี 64 มีรายได้รวม 1,832.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 20.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 191.07 ล้านบาท