ASPS เชื่อผลกระทบโควิดตอนนี้จำกัด ส่งผลดีต่อ Set Index ประเมินปัจจัยพื้นฐานไทยยังไม่เห็น Downside ในการลดเป้า เศรษฐกิจไทย หรือกำไร บจ. ปีนี้และปีหน้า พร้อม เปิด 3 ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยปี 65 เชื่อโควิด "โอไมครอน" ยังไม่กระทบพื้นฐาน ส่วนกำไร บจ.ปี 65 คาดอยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท ขณะที่หุ้นรายกลุ่ม ล่าสุด UOBKH ลดน้ำหนักหุ้นโรงไฟฟ้า จากต้นทุนก๊าซพุ่ง-ปริมาณก๊าซจากแหล่งเอราวัณลดลง-ยอดใช้ไฟที่ลดลงตามฤดูกาล
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยว่า แม้ประเด็น Covid จะยังมีผลต่อ Sentiment ต่อ SET Index แต่ในทางปัจจัยพื้นฐานของไทย คาดยังไม่เห็นการเปิด Downside ในการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไร บจ. ในปี 64-65 (ภายใต้สมมติฐานการแพร่ระบาดโควิดไม่รุนแรง และวัคซีนที่มีอยู่ไม่มีประสิทธิภาพป้องกัน) โดยรวมปัจจุบัน
ทั้งนี้ คาด Impact จากโควิดจำกัดถือเป็นบวกต่อ SET Index เห็นได้จากเศรษฐกิจไทย Consensus ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 64-65 ที่เดิมคือ 1% และ 4% (VS. ASPS คาด 0.9% และ 3.5% ตามลำดับ) สอดคล้องกับล่าสุดจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงคาดการณ์ที่เดิม
ขณะที่การเคลื่อนไหวของ SET index ยังคงติดตามพัฒนาการเรื่องเดิม โดยยังเห็นสัญญาณเชิงบวก ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
1.สถานการณ์ Covid รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ เช้านี้ล่าสุดเพิ่มขึ้น 4.2 พันรายยังต่ำกว่า 5 พันรายติดต่อกัน 11 วัน บ่งชี้ได้ว่าไทยยังควบคุมการติดเชื้อได้ดี ส่วนสายพันธุ์ omicron นับตั้งแต่ WHO ประกาศสายพันธุ์ที่ต้องติดตาม เมื่อวานพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron เพิ่มอีก 2 ราย โดยทั้ง 2 เดินทางมาจากประเทศไนจีเรีย โดยแต่ปัจจุบันหายดีแล้ว (ตรวจสอบย้อนหลัง)
2.ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน Covid มีความคืบหน้าต่อเนื่อง ล่าสุดในไทยฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้วราว 68.6% ของประชากรทั้งประเทศ และเข็ม 2 ราว 60%
3.ท่าทีของรัฐบาลในการป้องกัน Covid ดูเหมือนว่าจะไม่คุมเข้มงวด หรือห่างไกลการกลับมา Lockdown แบบเข้มงวดที่เกิดขึ้นในปีนี้ ยังเดินหน้าผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจหรือเปิดเมืองต่อเนื่อง แต่มุ่งเน้นไปที่การเข้มงวดการคัดกรองคนเข้าประเทศผ่านพรมแดน โดย ASPS ให้น้ำหนักไปวันจันทร์ที่ 13 ธ.ค.นี้ ศบค.จะจัดประชุมแนวทางการคุม Omicron และอาจจะผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ดังนั้น กำไร บจ. ASPS คาดกำไรปี 65 มีอยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท ทำให้ EPS65F อยุ่ที่ 81.8 บาท/หุ้น เติบโต 11%yoy
UOBKH ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้า เหลือน้อยกว่าตลาด
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH เปิดเผยว่า ได้ปรับลดน้ำหนักลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็น “น้อยกว่าตลาด” โดยมองว่า ถึงแม้ทิศทางความต้องการพลังงานในปี 65 จะยังแข็งแกร่ง แต่กลุ่มโรงไฟฟ้าจะเผชิญแรงกดดันในระยะใกล้ 3 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1) ราคาต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นจาก 336 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 4/64 เป็น 376 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/65 ขณะที่การปรับเพิ่มค่า Ft คาดว่าจะเพิ่มเพียง 4% เทียบกับราคาก๊าซที่คาดว่าจะเพิ่ม 12%ซี่งจะเป็นลบกับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) โดยเฉพาะ BGRIM และ GPSC
2) ปริมาณการผลิตก๊าซของแหล่งเอราวัณที่ลดลง ทำให้มีแนวโน้มต้องใช้การนำเข้า LNG ซึ่งจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นอีกราว 30%
3) ปัจจัยด้านฤดูกาลของผลประกอบการไตรมาส 4/64 ที่อากาศเย็นและมีการใช้ไฟฟ้าน้อย
จากปัจจัยข้างต้นจึงปรับน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มลงเป็น “น้อยกว่าตลาด (UNDERWEIGHT)” โดยเชื่อว่าการปรับตัวลงของราคาหุ้นในกลุ่มนี้ยังไม่เสร็จสิ้นและคาดว่าตลาดจะมีการปรับประมาณการกำไรลง
โดยรวมจะมีเพียง GULF ที่กำไรแข็งแกร่งจากการรับรู้รายได้จาก INTUCH การเริ่มจ่ายไฟ 1300MW ของ GSRC และการเข้าซื้อกิจการใหม่ๆ ทั้งนี้ภาพรวมของกลุ่มอาจกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง 65 จากแผน PDP ฉบับใหม่
