Thai Crypto Community ฉายภาพทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโตของไทย กระตุ้นความสนใจจากทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า จากกระแสและความนิยมเพิ่มขึ้น จาก 400,000 บัญชีในปีก่อนเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.5 ล้านบัญชี ในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีเซเลปบริตี้ บุคคลที่มีชื่อเสียง รวมถึงบางประเทศเริ่มมีการเปิดรับการใช้ Cryptocurrency มากขึ้น และราคาเหรียญ Cryptocurrency ต่างๆก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวในการสัมมนา Thailand’s Next Move : Looking Beyond Covid-19 ในหัวข้อ "Investment Trend 2022 หุ้น กองทุน คริปโทฯ" ว่า กระแสของ Cryptocurrency ตั้งแต่ปีก่อนมาถึงปัจจุบัน สะท้อนถึงมุมมองในการกระจายการลงทุนของนักลงทุน ที่โยกย้ายการลงทุนในตลาดเดิมมายัง Cryptocurrency ที่อยู่ในโลกดิจิทัลมากขึ้น ทำให้ราคาเหรียญ Cryptocurrency ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมูลค่าตลาดเพิ่มสูงขึ้นมาแตะ 2.76 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน และยังมีทิศทางการเติบโตขึ้นได้อีกค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ดีการที่นักลงทุนต่างมีความสนใจเข้ามาลงทุนใน Cryptocurrency มากขึ้นนั้น เพราะมองว่าเป็นทางเลือกในการลงทุนช่องทางหนึ่งที่ช่วยในการสร้างผลตอบแทนได้ ซึ่งจะเห็นการกระจายพอร์ตการลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีอยุ่ในปัจจุบัน เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ มากระจายการลงทุนใน Cryptocurrency ส่วนหนึ่ง ซึ่งการที่ Cryptocurrency ได้รับความนิยม สะท้อนภาพจากฐานบัญชีผู้ใช้บริการของ Bitkub เพิ่มขึ้นมาเป็น 2.5 ล้านบัญชี จากปีก่อนที่มี 400,000 บัญชี
นอกจากนี้การที่ Cryptocurrency ได้รับกระแสและความนิยมเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีเซเลบริตี้ บุคคลที่มีชื่อเสียง รวมถึงบางประเทศเริ่มมีการเปิดรับการใช้ Cryptocurrency มากขึ้น ทำให้คนต่าง ๆ รู้จักและเริ่มเข้ามาศึกษา ซึ่งกระแสที่เกิดขึ้นมีผลให้หน่วยงานที่กำกับดูแลต้องเข้ามากำหนดแนวทางการดูแลและควบคุมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีทำให้ Cryptocurrency มีการกำกับดูแลที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ สร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้ามาใช้และลงทุน ทำให้เกิดการยอมรับมากขึ้น รวมถึงนักลงทุนสถาบันต่าง ๆ เริ่มเข้ามามองการเข้ามาลงทุนใน Cryptocurrency เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ๆให้กับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้มูลค่าตลาดของ Cryptocurrency ขยายตัวได้มากขึ้น
ด้าน นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเข้ามาลงทุนใน Cryptocurrency ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุน ซึ่งที่ปัจจุบันกระแสของ Cryptocurrency มีมากขึ้นต่อเนื่อง และมีคนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่ในเรื่องของการต่อยอดนำไปใช้นั้นยังอาจจะไม่เห็นความนิยมมากนัก ซึ่งมีเพียงบางแห่งที่นำมาใช้ในการแลกเปลี่ยน ซื้อ-ขายสินค้าและบริการ เนื่องจากการยอมรับในการนำมาใช้ยังไม่แพร่หลายมากนัก จึงยังคงต้องใช้เวลาในการที่ Cryptocurrency จะสร้างความน่าเชื่อถือในการนำมาใช้ และมีคนเริ่มเปิดรับมากขึ้น
ในส่วนของพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงินจากเงินสดไปสู่เงินดิจิทัลได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขุ้น และทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็ว มีต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ลดลง โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่จะเห็นถึงประโยชน์ในการใช้สกุลเงินดิจิทัลค่อนข้างมาก และมีความน่าเชื่อถือที่คนทั่วไปสามารถนำ CBDC ไปใช้แทนเงินสดได้อย่างมีความมั่นใจ
ขณะที่ นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง และกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า Cryptocurrency ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยในการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่างๆ หากมองในแง่ของการนำไปใช้งาน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโลกการเงินให้ก้าวสู่ยุคใหม่ ที่มีความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมต่างๆ และมีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งอยู่ในระบบบล็อกเชน
อย่างไรก็ตาม กระแสของ Cryptocurrency ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากการลงทุนเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ราคาของ Cryptocurrency ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มองว่ายังมีความเสี่ยงอยู่บ้างในด้านของการลงทุนเพื่อเก็งกำไร ซึ่งหากมองในแง่ของการลงทุนแนะนำให้นักลงทุนจับจังหวะการลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญ
ทั้งนี้ในส่วนของการใช้ CBDC อาจจะต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวในการนำเงินไปใช้ เพราะการที่คนนำ CBDC ไปใช้ในการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้และบริการต่างๆ จะต้องผ่านระบบของธนาคารกลาง ซึ่งจะมีการเก็บข้อมูลการทำธุรกรรม และมีการส่งข้อมูลไปรายงานให้กับหน่วยงานที่ออก CBDC รวมถึงหน่วยงานของรัฐได้ทราบ ทำให้การใช้เงินแม้ว่าจะใช้จ่ายเพื่อซื้อของเพียงเล็กน้อย หน่วยงานต่างๆที่ควบคุมและเข้าถึงข้อมูลในระบบบได้ จะทราบถึงข้อมูลและความเคลื่อนไหวของการใช้เงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญในด้านความเป็นส่วนตัวในการนำ CBDC ไปใช้ที่ทางหน่วยงานกลางที่พัฒนาจะต้องไปพิจารณาความเหมาะสมต่อไป