ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานว่า การใช้จ่ายในประเทศเดือนกันยายนเริ่มฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการและสถานการณ์ COVID-19 ที่ปรับดีขึ้น โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนกันยายนขยับขึ้นจากเดือนก่อนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน (+3.9% MoM sa) จากความเชื่อมั่นที่เริ่มฟื้นตัว ตามการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุม การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้า รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ช่วยพยุงกำลังซื้อ เช่นเดียวกับดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเช่นกัน (+1.5%) ปรับดีขึ้นทั้งการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการลงทุนในหมวดก่อสร้าง ตามภาวะอุปสงค์และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้าง
ด้านมูลค่าการส่งออกเติบโตดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ประกอบกับการผลิตของไทยที่กลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ผลจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ปรับดีขึ้นหนุนดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนกลับมาขยายตัวจากเดือนก่อน (+6.6%) สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนกันยายนลดลงเหลือ 12,237 คน จากเดือนก่อน 15,105 คน
การระบาดที่รุนแรงของ COVID-19 จากสายพันธุ์เดลตา ฉุดเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ของปีกลับเข้าสู่แดนหดตัวอีกครั้งและเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ โดยวิจัยกรุงศรีคาด GDP อาจหดตัวที่ -2.5% QoQ sa หรือ -1.1% YoY สำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปีคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การระบาดบรรเทาลง การฉีดวัคซีนมีมากขึ้น และมาตรการควบคุมการระบาดผ่อนคลายลง นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากมาตรการรัฐที่อัดวงเงินมากขึ้นเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายในประเทศในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ถ้วนทั่ว และยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวของไทยที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าการท่องเที่ยวของโลกอยู่มาก (การสืบค้นข้อมูลเดือนตุลาคมใน Agoda, TripAdvisor และ Expedia ชี้ว่ากิจกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 50% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19 แต่ท่องเที่ยวของไทยอยู่ที่ระดับต่ำเพียง 25% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19)
ด้านการส่งออกเดือนกันยายนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์โลก การคลี่คลายของปัญหาภาคการผลิตในอาเซียน และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การส่งออกในเดือนกันยายนมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 3 เดือน ที่ 23.0 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.1% YoY เทียบกับ 8.9% ในเดือนก่อน และหากหักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน มูลค่าส่งออกเดือนนี้เติบโตน้อยลงเหลือ 12.9% สำหรับมูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 760.6 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาท โดยในระยะข้างหน้าวิจัยกรุงศรีคาดว่าการส่งออกของไทยในเชิงปริมาณจะยังเติบโตได้ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์โลก การคลี่คลายของปัญหา Supply disruption ในอาเซียน และการทยอยเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์มูลค่าการส่งออกปี 2564 เติบโตที่ 13.5% บนฐานข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ (และ 15% ฐานข้อมูล ธปท.) อย่างไรก็ตาม หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวในระดับสูง อาจหนุนให้การส่งออกในปีนี้มีมูลค่าสูงกว่าที่คาดได้