นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารคาดการณ์จีดีพีปี 2565 ที่ระดับ 3% จากปีนี้ทรงตัวที่ 0% โดยมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมี 3 ปัจจัยที่ต้องตามติดหลังการเปิดประเทศคือ ภาคท่องเที่ยวหลังจากเปิดประเทศ ซึ่งหากมีการควบคุมโควิด-19 ได้ดี มีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ 5-6 ล้านคน จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศกลับมาสู่ภาวะสมดุล รวมถึงภาคการส่งออกซึ่งส่วนนี้ยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีอัตราการเติบโตที่ 15% จากปลายปีก่อน และด้านการบริโภคหลังจากเปิดประเทศ
“เราคาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เราอาจจะทบทวนมุมมองนี้อีกครั้งในอีก 1 เดือนหลังเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน รวมถึงเรารอดูตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคช่วงปลายปี และยังมีสิ่งสำคัญที่ติดตามคือ เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เข้มแข็งเพียงใด”
**จับตานโยบายทางการเงินในปีหน้า**
สำหรับในปีหน้านโยบายทางการคลังยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 น่าจะมีการกระตุ้นในภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่โครงการการลงทุนต่างๆ น่าจะกลับมาเดินหน้าต่อ ซึ่งมีโอกาสต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจได้มากขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตามองในปีหน้าจะอยู่ที่นโยบายทางการเงินแทน โดยตลาดอาจตั้งคำถามว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจไว้ได้อย่างไร ในขณะที่ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกันบ้างแล้ว ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ตลาดเงินมีความผันผวน
"อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในหลายประเทศเป็นแรงกดดันให้เริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ประเทศไทยเรามองว่าอัตราเงินเฟ้อจะทะลุ 2% ในปีหน้า แต่ระดับดังกล่าวถือว่ายังอยู่ในกรอบที่แบงก์ชาติวางไว้ที่ 1-3% แต่การคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับต่ำ ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกปรับขึ้นจะมีแรงกดดัน และทำให้ตลาดเงินมีความผันผวนมากขึ้น"
ด้านเงินบาท ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่า ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 จะอยู่ในกรอบ 31-32 บนปัจจัยบวกต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่ ณ สิ้นปีนี้ คาดการณ์เงินบาทที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“มีปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศหลายประการที่จะส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินบาทในปี 2565 ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน จะกลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้งในยุคหลังโควิด-19"
สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่ต้องจับตามองคือพัฒนาการทางการเมือง และสถานการณ์โควิด-19 หลังเปิดประเทศ โดยขณะนี้นักลงทุนเริ่มมองปัจจัยอื่นๆ ในช่วงหลังโควิด-19 เช่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไหม โดยจะส่งผลต่อเสถียรภาพด้านราคา หรือภาวะเงินเฟ้อไหม รวมทั้งจับตาดูว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นกลับมาได้อย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่
นอกจากนี้ มีความท้าทายเชิงโครงสร้างในแง่ที่ว่า รัฐบาลจะสามารถดึงดูดภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศให้ลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นได้อย่างไร และการแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC อย่างชัดเจน