บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า ปัจจัยสัปดาห์นี้หลักเป็นเรื่องของผลประกอบการในประเทศซึ่งน่าจะออกมาใกล้เคียงกับนักวิเคราะห์ประเมินไว้ จึงคาดหวังแรงหนุนเชิงบวกต่อการลงทุนได้ยาก
ขณะที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลได้เปิดเผยแผนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวครอบคลุม 46 ประเทศ และสามารถเดินทางได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย แต่มีข้อแม้ฉีด Vaccine ครบ 2 โดส หลักฐานในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเดินทางและตรวจซ้ำอีกครั้งเมื่อมาถึงประเทศไทย
ส่วนประเทศอื่นๆ นอกเหนือจาก 46 ประเทศข้างต้นจะแบ่งเป็น 2 กรณี ประเทศที่ไม่อยู่ใน 46 ประเทศข้างต้นแต่รับ Vaccine ครบ 2 โดส และต้องตรวจหาเชื้อก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมงด้วยวิธี RT-PCR พร้อมกับต้องจองที่พัก 7 คืน หลังจากนั้นจะมีการตรวจหาเชื้อในวันที่ 6 หรือ 7 หากไม่พบเชื้อสามารถเดินทางได้ทุกที่ของประเทศไทย ไม่อยู่ในกลุ่มประเทศ 46 ข้างต้นและยังได้รับ Vaccine ไม่ครบการเดินทางเข้ามาต้องกักตัว 7-10 วัน
CGS มองว่า การประกาศเปิดประเทศถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ยังมิสามารถคาดหวังผลบวกต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนหรือเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีสัดส่วนอันดับ 1 (28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 19) การเดินทางออกนอกประเทศยังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากจีนมีความเข้มงวดสูงเกี่ยวกับการป้องกันการระบาดโควิด-19 ข้อมูลล่าสุดสำนักข่าว Channel Asia รายงานว่า จีนได้สั่งยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวและปิดโรงเรียนทันทีหลังพบคู่รักติดโควิด-19 จากการเดินทางไปหลายมณฑล
ขณะเดียวกัน แม้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจะคลี่คลายมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าแต่การติดเชื้อต่อวันยังอยู่ในระดับสูงราว 9,000-10,000 ราย ด้าน Vaccine เข็มแรกและเข็มสองครอบคลุมราว 54.6% และ 37.9% ของประชากรทั้งหมด หากเทียบกับประเทศใกล้เคียง เช่น เกาหลีใต้ (78.6%, 68.8%) มาเลเซีย (78.3%, 72.8%) ญี่ปุ่น (76.6%, 69%) เรียงจากเข็มแรกและเข็มสอง เชื่อว่าการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติย่อมจะต้องพิจารณาทั้งด้านการติดเชื้อและการกระจาย Vaccine ซึ่งจะเห็นว่าประเทศอื่นๆ ยังบริหารจัดการเรื่องโควิด-19 ได้ดีกว่าประเทศไทย
ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์อันดับแรก ได้แก่ สนามบิน (AOT) แต่ราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนลดจากสิ้นปี 19 เพียง 11% บ่งชี้ว่าราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกต่อการเปิดประเทศไปพอสมควร ขณะที่เชิงผลประกอบการปี 22 คาดจะมีกำไรเพียง 2.9 พันล้านบาท หากเทียบกับปี 19 มีกำไรถึง 2.5 หมื่นล้านบาท สวนทางกับราคาหุ้นที่มีส่วนลดเพียง 11%
อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม ได้แก่ ค้าปลีก (BJC CPALL) โรงแรม (CENTEL ERW MINT) ศูนย์การค้า (CPN) รถไฟฟ้า (BTS BEM) ธนาคาร (BBL KBANK SCB) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นชุดข้างต้นต่างปรับตัวขึ้นมาระดับนึง บ่งชี้ว่าราคาหุ้นได้ตอบรับต่อแผนการเปิดประเทศรวมถึงผ่อนคลายมาตรการมาแล้วระดับนึง แต่ที่ยัง Laggard ได้แก่ (BBL BEM BJC CPALL CPN)
หุ้นแนะนำ CBG (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 159 บาท) คาดผลประกอบการไตรมาส 3/64 เป็นจุดต่ำสุดของปี 64 ที่ 655 ล้านบาท (-32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -32% จากไตรมาสก่อนหน้า) เนื่องจากการลดลงของรายได้ในทุกๆ ประเทศที่ค้าขายผลจากการระบาดโควิด-19 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนน้ำตาลและอะลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามคาดไตรมาส 4/64 จะเริ่มฟื้นตัวจากไตรมาส 3/64 ขณะที่ราคาหุ้นได้ปรับฐานลงมาจากจุดสูงสุด 22% เชื่อว่าสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 3 นี้ ไปแล้ว แนะทยอยสะสม
KBANK (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 174 บาท) มองว่ากำไรจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป จากการขยายสินเชื่อกลุ่มธุรกิจและ SME หลังจากคลายล็อกดาวน์ รวมทั้งได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศในปีหน้า เนื่องจากมีพอร์ตสินเชื่อ SMEและสินเชื่อที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวสูง
