ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปลดล็อกมาตรการผ่อนคลาย LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาเป็น 100% ถึงสิ้นปี 65 หนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตัว +5.87 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 71,285.02 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่ระดับ 1,643.42 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +5.87 จุด หรือ +0.36% โดยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 71,285.02 ล้านบาท โดยในระหว่างวันส่วนใหญ่ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุด ที่ 1,646.50 จุด และปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,639.16 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวเพิ่มขึ้น จำนวน 734 หลักทรัพย์ ปรับตัวลดลง 920 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 627 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์จำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิ -2,374.29ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันกลับซื้อสุทธิ 178.28 ล้านบาท บัญชี บล. เข้าซื้อสุทธิ 221.12 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,974.89 ล้านบาท
ส่วน 5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
1.KBANK ปิดที่ 141.50 บาท ลดลง -1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,096.53 ล้านบาท
2.BBL ปิดที่ 122.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,050.67 ล้านบาท
3.PTT ปิดที่ 40.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,798.33 ล้านบาท
4.BANPU ปิดที่ 12.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,643.95 ล้านบาท
5.SPALI ปิดที่ 21.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,546.85 ล้านบาท
ด้านหุ้นกลุ่ม SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกมากที่สุด ได้แก่
1.KTC ปิดที่ 58.00 บาท เพิ่มขึ้น +2.00 บาท หรือ +3.57%
2.PTTEP ปิด 125.50 บาท เพิ่มขึ้น +2.00 บาท หรือ +1.62%
3.SCC ปิด 396.00 บาท เพิ่มขึ้น +2.00 บาท หรือ +0.51%
4.SPALI ปิด 21.60 บาท เพิ่มขึ้น +1.20 บาท หรือ +5.88%
5.ORI ปิด 11.50 บาท เพิ่มขึ้น +0.80 บาท หรือ +7.48 %
ส่วนหุ้นกลุ่ม SET100 ที่มีราคาปรับตัวลบมากที่สุด ได้แก่
1.DELTA ปิด 452.00 บาท ลดลง -4.00 บาท หรือ -0.88%
2.SCB ปิด 124.00 บาท ลดลง -1.50 บาทหรือ -1.20%
3.TQM ปิด 106.50 บาท ลดลง -1.00 บาท หรือ -0.93%
4.KBANK ปิด 141.50 บาท ลดลง -1.00 บาท หรือ -0.70%
5.PTL ปิด 25.00 บาท ลดลง -0.75 บาท หรือ -2.91%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,251.16 จุด เพิ่มขึ้น 6.44 จุด หรือ 0.29% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 988.81 จุด เพิ่มขึ้น 2.95 จุด หรือ 0.30% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 559.65 จุด เพิ่มขึ้น 0.82 จุด หรือ 0.15%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแคบแต่ยังยืนในแดนบวกได้ แม้วอลุ่มเทรดโดยรวมจะเบาบางก่อนที่จะหยุดหลายวัน ทั้งนี้หลักๆ มาจากแรงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีทีเดียว ตอบรับการปลดล็อกมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาเป็น 100% ถึงสิ้นปี 65 ซึ่งเป็นการสร้าง Surprise ให้ตลาด
วันนี้หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์คึกคักรับข่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนผันให้กู้บ้านได้ 100% ทำให้แรงซื้อหุ้นกลุ่มอสังหาฯ เข้ามาอย่างผิดหูผิดตา โดย บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI แซงขึ้นมาติด 1 ใน 5 ของหุ้นกลุ่ม SET 100 ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก และยังติดหุ้นที่มีราคาบวกเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรกด้วย และยังมี ORI พ่วงมาด้วย นอกจากนี้ ยังมี SAMCO หรือ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) และ PRECHA หรือบริษัท ปรีชากรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่หุ้นติดโผราคาเพิ่มขึ้น 2 อันดับแรกตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังมีแรงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ หลังจากที่งบผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ออกมาแล้วพบว่ามีรายได้จากหลักทรัพย์ทำได้ค่อนข้างดี ทำให้มีการเก็งกำไรกลุ่มหลักทรัพย์ไปด้วย แต่มีแรงขายบ้างจากหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลาง และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งลักษณะการเล่นเป็นการเล่นตามปัจจัยเฉพาะกลุ่ม ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบสลับกัน ขณะที่ตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ติดลบราว 0.3%
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายวิจิตร กล่าวว่า ตลาดคงจะแกว่งตัวในกรอบ โดยดัชนีมีโอกาสที่จะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up จากแรงเก็งกำไรตามงบแต่ละตัว และเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว โดยให้แนวรับ 1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,660 จุด พร้อมกันนี้แนะนำนักลงทุนให้ติดตามความชัดเจนการเปิดประเทศ และการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Real Sector ส่วนนอกประเทศให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 ต.ค.นี้ โดยใหัจับตาทิศทางเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ย