‘บมจ.พริมา มารีน’ หรือ (PRM) รับจังหวะสัญญาณเชิงบวกหลังรัฐทยอยคลายล็อกดาวน์ ส่งผลดีต่อกิจกรรมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคัก หนุนอัตราการใช้เรือทุกกลุ่มในช่วงไตรมาสสุดท้าย ชี้กลุ่มธุรกิจ Offshore บุ๊กรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากอัตราการใช้เรือมากกว่า 90% ขณะที่กลุ่มเรือขนส่งภายในประเทศคาดจะขยายตัวได้ดีจากการเดินทางที่มากขึ้น ภายหลังการคลายล็อกดาวน์ มั่นใจทั้งปีผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าที่วางไว้
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้คาดว่าจะทำผลการดำเนินงานเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง รับกับจังหวะปัจจัยเชิงบวกของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น หลังภาครัฐทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เริ่มเปิดประเทศให้ประชาชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานเชื้อเพลิงภายในประเทศทั้งส่วนของน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการใช้เรือขนส่งภายในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย หลังจากในช่วงที่ผ่านมา PRM ได้มุ่งเน้นบริหารจัดการอัตราการใช้เรือในกลุ่มธุรกิจนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยปรับเปลี่ยนเส้นทางการให้บริการเรือขนส่งไปยังภาคกลาง จากเดิมที่เน้นการขนส่งลงภาคใต้เป็นหลัก เพื่อรักษาระดับ Utilization Rate ของเรือให้อยู่ในระดับสูงในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (กลุ่มธุรกิจเรือ Offshore) จะช่วยผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีอัตราการใช้เรือ Crew Boat จำนวน 13 ลำ มากกว่า 90% ทำให้ PRM สามารถรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจนี้มากยิ่งขึ้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศด้วยเรือ VLCC ขนาด 300,000 DWT ให้แก่กลุ่มไทยออยล์ ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ยังคงทำรายได้ที่สม่ำเสมอและจะมีบทบาทต่อการผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีถัดไปอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อให้บริการเรืออีก 2 ลำเพิ่มเติมตามสัญญา
“เรามั่นใจว่าผลงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้การบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่ออัตราการใช้เรือขนส่งภายในประเทศให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงความสำเร็จในการผลักดันอัตราการใช้เรือกลุ่ม Offshore ได้มากกว่า 90% จะยังช่วยสนับสนุนการดำเนินงานปีนี้เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้อีกด้วย” นายวิริทธิ์พล กล่าว