ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY) เปิดห้องสนทนา "เจาะกระแส มองอนาคต Cryptocurrency" ผ่าน Clubhouse โดยมีโดยนายวิน พรหมแพทย์ CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กูรูด้านการเงินและการลงทุน นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในสตาร์ทอัปที่มีประสบการณ์ในการลงทุนดิจิทัล และนายเอกราช ศรีศุภวิชากิจ Head of Risk Management & Research Specialist บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด กูรูจากแพลตฟอร์มซื้อขายเงินดิจิทัล ร่วมกันวิเคราะห์ทิศทางการลงทุนที่เหมาะสมและคุ้มค่า ชี้ Cryptocurrency เป็นอีกหนึ่งแนวทางการลงทุน “โอกาสใหม่” ที่ควรค่าต่อการปรับพอร์ต ช่วยกระจายความเสี่ยง ตลอดจนชี้ช่องการลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นจับจ้องเหรียญเพื่อการลงทุนระยะยาว
นายวิน พรหมแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนสถาบันที่เป็น Endowment fund เริ่มหันมาลงทุนใน Cryptocurrency ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Cryptocurrency เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นในกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน เพียงแต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และถึงแม้ Cryptocurrency จะมีแนวโน้มที่สดใส แต่ต้องยอมรับว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง และความเสี่ยงของ Cryptocurrency คือการประเมินมูลค่านั่นเอง
ทั้งนี้ Crypto Asset มีลักษณะคล้ายกับสินทรัพย์ที่เป็น Commodities และสกุลเงิน เนื่องจากลักษณะของการประเมินมูลค่า (Value) ยาก ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายงานหรือเอกสารที่สามารถรับรองการประเมินมูลค่าของ Crypto Asset ได้อย่างแม่นยำ และเมื่อย้อนดูการลงทุนในทองคำเมื่ออดีต ต้องผ่านความท้าทายและบทพิสูจน์นานพอสมควรจนกว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างมากในตอนนี้ นั่นทำให้ Cryptocurrency จะเดินตามรอยทองคำเช่นกัน และอาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ
ส่วนอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสแบนธุรกิจดิจิทัลของจีนนั้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่า เป็นเรื่องปกติที่ทางการจีนจะออกมาตรการกีดกันควบคุมเป็นพิเศษ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับนักลงทุนบ้างแต่น้อยมาก ซึ่งไม่อาจเทียบกับเทรนด์ของโลกได้ โดยเทียบเคียงให้เห็นภาพว่าถึงแม้จีนจะแบน Facebook แต่แพลตฟอร์มนี้ยังแข็งแกร่งและมีผู้ใช้ทั่วโลก แต่ถึงอย่างนั้นมาตรการต่างๆ ของรัฐอาจมีผลกระทบต่อราคาเหรียญได้ เนื่องจากตลาดนี้มีความอ่อนไหวอย่างมาก ทำให้ทุกครั้งที่มีการประกาศคำสั่งใดๆ อาจฉุดราคาลง แต่ทุกครั้งจะดีดขึ้นไปได้เสมอ และมองว่านักลงทุนจีนจะสามารถหาช่องทางในการลงทุน Digital Asset ได้อยู่แล้ว และขณะนี้การลงทุนในเหรียญนับเป็นเกมระดับโลก พร้อมคาดการณ์ว่าในอนาคตเมื่อมีการเรียกร้องและมีความต้องการเพิ่มขึ้นจนต้องนำเงินออกนอกประเทศ ย่อมทำให้ทางการจีนอาจมีการปรับเปลี่ยนและผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลงก็เป็นได้
ขณะที่นายแซม ตันสกุล กล่าวว่า จากประสบการณ์ใกล้ชิดกับการลงทุนใน Venture Capital จึงมองเห็นสถานการณ์ที่น่าจับตา โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Tech Startup ที่ต้องใช้เวลาในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงทำให้ผู้ประกอบการด้านดิจิทัลหันมาสร้างและลงทุนในเหรียญดิจิทัลหรือโทเคนมากขึ้นเพื่อสร้างผลกำไรในตลาดอื่นๆ ด้วย ส่วนนักลงทุนสถาบันจากที่เคยเทคะแนนให้หุ้น หรือ Equity เต็มเหนี่ยว ก็เปลี่ยนมาสนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain และ Decentralized Finance (DeFi) มากขึ้น และที่น่าสนใจไปกว่านั้นยังพบสัดส่วนการบริหารพอร์ต โดยขยายการถือครอง Cryptocurrency มากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนั้น ยังพบพฤติกรรมที่น่าสนใจของกลุ่มนักลงทุนด้วย ซึ่งนายเอกราช ศรีศุภวิชากิจ กล่าวว่า จากเดิมมักจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ชอบเรียนรู้แนวทางใหม่ๆ ปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นให้ความสนใจ Cryptocurrency ที่ให้ผลตอบแทนสูงหนาตาขึ้น ตลอดจนนักลงทุนสถาบันที่กล้าตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะสกุลเงินดิจิทัล และโดยมากจะเป็นการถือครองมากกว่าซื้อขายเก็งกำไร ทั้งยังเริ่มตระหนักและมีความเข้าใจในมูลค่าของ Cryptocurrency ว่าสามารถใช้ลงทุนได้ เป็นการกระจายความเสี่ยง และเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตได้ดี ตลอดจนยังนำมาใช้สำหรับใช้จ่าย (Payment) หรือเก็บออมได้ ซึ่งปัจจุบันหลายเหรียญที่เติบโตขึ้นเร็ว มักมาจากเน็ตเวิร์กของกลุ่มนักลงทุน และความจำเป็นในการใช้จ่ายเฉพาะกลุ่มด้วยเช่นกัน
สำหรับความคิดเห็นเรื่องการลงทุนสกุลเงินดิจิทัลในอนาคตนั้น นายเอกราช ศรีศุภวิชากิจ กล่าวว่า จากการทดสอบย้อนหลัง (Back Test) โดยแบ่งลงทุนเพียง 1% ของพอร์ตเข้าไปในบิตคอยน์ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญดิจิทัลยอดนิยมและเป็นที่ยอมรับ โดยทดสอบย้อนหลังเป็นเวลา 6-7 ปีเกิดตัวเลขผลตอบแทนสูง โดยเงินลงทุนเบื้องต้น 1 ล้านบาท กลายเป็น 1.1 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 10% นั่นเป็นเพราะมีการแบ่งเงินเข้าไปในสัดส่วนที่น้อย เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปพร้อมกับให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ ดังนั้น แนวทางในการลงทุนที่เหมาะสม ควรจะเข้าไปอ่านหนังสือชี้ชวน และโรดแมปของเหรียญ เช่นเดียวกับการวิเคราะห์หุ้น จากนั้นเพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยเลือกจากเหรียญที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง แบ่งสัดส่วนให้เหมาะสม และควรเลือกเหรียญที่น่าเชื่อถือจึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีภายใต้ความเสี่ยงที่จำกัด
เช่นเดียวกับนายแซม และนายวิน จากกรุงศรี ที่แนะนำว่า การลงทุนสกุลเงินดิจิทัลในพอร์ตของตัวเองไม่ควรเกิน 3-10% เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสูงสุด โดยสามารถลงทุนได้ทั้งเหรียญและในอนาคตอันใกล้ อาจมีโอกาสลงทุนผ่านกองทุน โดยคาดว่าเร็วๆ นี้จะมีการจัดตั้ง Crypto Fund ระดับโลก เพื่อให้นักลงทุนที่เป็นไฮเน็ตเวิร์ธเข้ามาลงทุนในกรอบนี้ได้ ยิ่งทำให้ความต้องการลงทุนใน Crypto Asset เพิ่มสูงขึ้นและส่งผลดีต่อนักลงทุนสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญให้สามารถบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วยความเชื่อมั่นมากขึ้น อีกทั้งยังแนะแนวทางถือครองสกุลเงินดิจิทัลในระยะยาวมากกว่าเก็งกำไรระยะสั้น