xs
xsm
sm
md
lg

กรุงศรีชี้ ศก.ไตรมาส 4 ทยอยฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยง คาด กนง.คงดอกเบี้ยถึงสิ้นปีหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วิจัยกรุงศรีระบุเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 มีความเสี่ยงที่จะติดลบจากผลกระทบการระบาดโควิด-19 ที่รุนแรง และค่อยๆ ฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงในหลายด้าน ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดการณ์คงระดับเดิมจนถึงสิ้นปีหน้า เพื่อพยุงกลุ่มเปราะบางที่เพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤต พร้อมมุ่งเน้นมาตรการเฉพาะจุดมากกว่า

ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) ระบุกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเดือนสิงหาคมเกือบทุกภาคได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรง ขณะที่การฟื้นตัวในระยะถัดไปยังมีความไม่แน่นอน โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนสิงหาคมลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน (-2.6% MoM sa) ตามกำลังซื้อที่อ่อนแอ และมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านดัชนีการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากเดือนก่อนเช่นกัน (-1.6%) โดยลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับดีขึ้นบ้างหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในพื้นที่ก่อสร้าง ด้านมูลค่าการส่งออกเติบโตชะลอลงเหลือเลขหลักเดียว เนื่องจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นทั้งในประเทศและประเทศคู่ค้า และปัญหา supply disruption ทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดลงเหลือ 15,105 คน จากเดือนก่อน 18,056 คน นอกจากนี้ ผลของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่อ่อนแอลง ประกอบกับปัญหา supply disruption ทำให้ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

จากสภาวะการณ์ดังกล่าว เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ของปีนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรง และมีความเสี่ยงที่จะติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่แล้ว ขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ผ่านจุดสูงสุด การฉีดวัคซีนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดลง รวมถึงมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ คาดว่าจะมีส่วนช่วยหนุนให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่การฟื้นตัวยังไม่สม่ำเสมอและมีความไม่แน่นอนอยู่ จากแบบจำลองการระบาดของวิจัยกรุงศรีประเมินภายใต้การฉีดวัคซีนเฉลี่ยวันละ 460,000 โดส และประสิทธิภาพของวัคซีนต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตาอยู่ที่ 50% พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงอย่างช้าๆ โดยคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้จะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 2,500 รายต่อวัน และเสียชีวิตราว 40 รายต่อวัน ทั้งนี้ ประเมินภายใต้ข้อสมมติฐานว่า ทางการยังใช้มาตรการควบคุมการระบาดตลอดทั้งปี แม้จะมีการผ่อนคลายทีละขั้นตอนแต่ยังคงข้อจำกัดบางประการด้วยความระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงแก่เศรษฐกิจไทย

ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 29 กันยายน มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่ามาตรการด้านการเงินจะมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ และคงประมาณการ GDP ปี 2564 เติบโตที่ 0.7% และปี 2565 ปรับขึ้นเล็กน้อยเป็นขยายตัว 3.9% จาก 3.7% โดยประเมินว่าพัฒนาการด้านวัคซีนที่ดีขึ้นและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เร็วกว่าคาด จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและการบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่วนในปี 2565 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวจากการใช้จ่ายในประเทศเป็นสำคัญตามความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง

ดังนั้น จากแบบจำลองของวิจัยกรุงศรีประเมินผลการลงมติล่าสุดของ กนง. ชี้ว่าในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 10 พฤศจิกายน มีความน่าจะเป็นเพียง 23.8% ที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบาย และมีความน่าจะเป็นสูงถึง 73.9% ที่จะคงดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งวิจัยกรุงศรีคาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้และตลอดปีหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเปราะบางท่ามกลางบาดแผลที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด-19 เช่น ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและตลาดแรงงานอ่อนแอ โดยทางการมุ่งเน้นการใช้มาตรการทางการเงินที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และแม้อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอาจทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565 แต่สำหรับไทยคาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของ ธปท.ที่ระดับต่ำเพียง 0.2% ในปี 2564 และ 0.3% ในปี 2565 นอกจากนี้ การประเมินว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย หรือ GDP จะยังไม่เพิ่มขึ้นเหนือระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 จนถึงปี 2566 สะท้อนถึงความจำเป็นการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น