ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ หลังจากที่เมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ต.ค.) ว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 29,044.47 จุด เพิ่มขึ้น 273.4 จุด หรือ +0.95% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,478.68 จุด ลดลง 96.96 จุด หรือ -0.39%
ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ (4 ต.ค.) เนื่องในวันชาติ
ทั้งนี้ เมอร์คเปิดเผยว่า ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 50% โดยผลการทดลองในระยะที่ 3 พบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์จำนวนเพียง 7.3% ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเวลา 29 วัน และไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก จำนวน 14.1% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเวลา 29 วัน และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 8 ราย
ขณะนี้เมอร์คกำลังทดลองยาโมลนูพิราเวียร์ร่วมกับบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ ซึ่งเป็นการทดลองในระยะที่ 3 โดยแบ่งเป็นการทดลองสำหรับยารักษา และยาป้องกันโรคโควิด-19 โดยเมอร์คได้เริ่มผลิตยาโมลนูพิราเวียร์แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถผลิตได้ 10 ล้านเม็ดภายในสิ้นปีนี้ และจำนวนมากขึ้นในปีหน้า
แม้ว่าขณะนี้ยาโมลนูพิราเวียร์ยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA แต่หลายประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มสั่งยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์คแล้ว ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ โดยทางบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการจัดส่งยาจำนวน 1.7 ล้านเม็ด นอกจากนี้ เมอร์คระบุว่า ทางบริษัทมีแผนที่จะกำหนดราคายาโมลนูพิราเวียร์โดยอ้างอิงจากการจัดแบ่งกลุ่มประเทศต่างๆ ตามเกณฑ์รายได้ของธนาคารโลก เพื่อรับประกันการเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์อย่างเท่าเทียมกันสำหรับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงประกาศระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ในวันนี้ หลังจากบริษัทผิดนัดชำระหนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ยังได้ระงับการซื้อขายหุ้นเอเวอร์แกรนด์ พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเอเวอร์แกรนด์ด้วย
ทั้งนี้ เอเวอร์แกรนด์ได้ผิดนัดชำระหนี้ถึง 2 ครั้ง โดยได้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้วงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ที่มีกำหนดชำระวันที่ 29 ก.ย. รวมทั้งผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้วงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์ที่มีกำหนดชำระในวันที่ 23 ก.ย.