ช่วงนี้ชื่อของ "อรอร อัครเศรณี" ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนอยู่หลายแห่ง และทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มนายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG
ล่าสุด วันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ได้ทำรายการบิ๊กล็อต หรือการซื้อขายหุ้นรายใหญ่ โดย น.ส.อรอร ซื้อหุ้นบริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE จำนวน 562,099,800 หุ้น หรือสัดส่วน 20.22% ของทุนจดทะเบียน ในราคา 1.69 บาท จาก บริษัท คอม-ลิงค์ จำกัด
เดิม น.ส.อรอร ถือหุ้น EE ในสัดส่วน 1.53% ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 22.75% และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 รองจาก นายศิริธัช โรจน์พฤกษ์ ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 24.97%
ราคาหุ้น EE เคลื่อนไหวในกรอบแคบมาพักใหญ่ แต่เริ่มมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก นับจากวันที่ 16 กันยายน โดยปิดที่ 1.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 สตางค์ และถูกลากขึ้นต่อเนื่อง 5 วันทำการติดต่อ จนวันที่ 22 กันยายนขึ้นมาปิดที่ 1.94 บาท
EE เดิมคือ บริษัท ซีฮอร์ส จำกัด หรือ SH และเคยเป็นหุ้นร้อนฉายา “ม้าน้ำ” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2535 ดำเนินธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารทะเลกระป๋องเพื่อการส่งออก ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น EE เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 และเปลี่ยนธุรกิจมาผลิตเอทานอล เพื่อใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอล์ ต่อมาล้มเลิก แต่ยังดำเนินธุรกิจพลังงานสะอาดอยู่
แม้จะเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจหลักในหลายด้าน แต่ EE ทำธุรกิจอะไรก็ไม่รุ่ง และกำลังจะเปลี่ยนธุรกิจอีกครั้ง โดยกลับไปสู่จุดเริ่มต้นคือธุรกิจด้านการเกษตร ซึ่งจะต้องรอดูว่าจะรุ่งหรือไม่
ก่อนหน้านี้ วันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา น.ส.อรอร ได้ซื้อหุ้น NMG จากบริษัท นิวส์ เน็ตเวอร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS จำนวน 404,985,000 หุ้น หรือสัดส่วน 9.95% ของทุนจดทะเบียน เมื่อรวมกับหุ้นที่ถือเดิมอยู่ 5,010,000 หุ้น หรือสัดส่วน 0.1231% ของทุนจดทะเบียน ทำให้ น.ส.อรอร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันอับ 1 ในสัดส่วน 10.0786% ของทุนจดทะเบียน
ขณะที่ chit lom limited ซึ่งเข้ามารับซื้อหุ้นต่อจากบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ของนายคีรี กาญจนพาสน์ ตกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในสัดส่วน 9.99% ของทุนจดทะเบียน
ส่วนราคาหุ้น NMG เริ่มทะยานขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน จากราคาปิด 15 สตางค์ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม หลังจากนั้นถูกลากขึ้น จนวันที่ 23 กันยายน ถูกลากขึ้นมาปิดที่ 31 สตางค์ พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่พองโตขึ้น จากวันละไม่กี่ล้านบาท พุ่งขึ้นเป็นกว่า 50 ล้านบาท
หุ้นอีกตัวที่ น.ส.อรอร กำลังจะก้าวเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คือ NEWS โดยคณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา และแจ้งตลาดหลักทรัพย์ก่อนเปิดการซื้อขายหุ้นวันที่ 10 กันยายนว่า จะเพิ่มทุนจำนวน 30,000 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท จัดสรรให้บุคคลในวงจำกัด 4 ราย ในราคาหุ้นละ 0.018 สตางค์ โดย น.ส.อรอร จะได้รับการจัดสรรจำนวน 15,000 ล้านหุ้น ใช้เงินลงทุน 270 ล้านบาท
NEWS เคยสร้างประวัติศาสตร์เป็นบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มทุนมากที่สุดภายใน 1 ปี โดยปี 2557 เพิ่มทุนถึง 11 ครั้ง เสนอขายบุคคลในวงจำกัด 10 ครั้ง และเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม 1 ครั้ง แต่ผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จนราคาหุ้นแน่นิ่งอยู่ 1 สตางค์พักหนึ่ง ก่อนจะถูกลากขึ้นลงแถว 1-2 สตางค์ยาวนาน
แต่วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเพิ่มทุน นำหุ้น NEWS จำนวน 15,000 ล้านหุ้น เสนอขาย น.ส.อรอร ราคาหุ้นถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรง 3 วันทำการติด จากราคา 2 สตางค์ ขยับขึ้นเป็น 5 สตางค์ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่พองโต ก่อนจะถูกปล่อยให้ลงยืนในระดับ 4 สตางค์ และลากขึ้นมารอบใหม่จนวันที่ 23 กันยายน พุ่งขึ้นมาปิดที่ 6 สตางค์
และมีข่าวว่า กลุ่มมาร์เกตติ้งโบรกเกอร์บางแห่งอาจได้ระแคะระคายการลากหุ้น NEWS และช้อนหุ้นดักไว้ตั้งแต่ 1-2 สตางค์ จนรวยกันเละ
หุ้นที่ น.ส.อรอร เข้าไปซื้อ โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนายฉาย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม กลายเป็นหุ้นร้อนขึ้นมาหมด
และสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ หุ้นกลุ่มที่ น.ส.อรอร เข้าไปซื้อหรือกำลังจะเข้าไปซื้อ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น EE หุ้น NMG และหุ้น NEWS ราคาและมูลค่าซื้อขายขยับขึ้นผิดจากสภาพการซื้อขายปกติ
แต่กลับไม่ถูกตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขาย เหมือนเป็นหุ้นที่มีสิทธิพิเศษเหนือหุ้นทั่วไป
ทั้งที่ EE NMG และ NEWS เข้าข่ายหุ้นร้อนที่ถูกลากขึ้นมายกแผง
(น.ส.อรอร อัครเศรณี เป็นใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับ “ฉาย บุนนาค” อ่านต่อพรุ่งนี้)