ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% และน่าจะยังคงไม่ประกาศการลดวงเงิน QE (QE tapering) ในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ โดยเฟดน่าจะยังคงมีมุมมองต่อการปรับลด QE ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ตลาดรับรู้ไปแล้วว่าเฟดจะเริ่มลดวงเงิน QE ในสิ้นปีนี้ โดยในการประชุมนโยบายการเงินครั้งนี้คาดว่าเฟดคงส่งสัญญาณผ่านถ้อยแถลงว่าเฟดมีมุมมองระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากเครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจบางตัวออกมาต่ำกว่าที่คาด ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี คาดว่าเฟดคงมีมุมมองที่มั่นใจว่าในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีโมเมนตัมการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายของเฟด ซึ่งถ้อยแถลงของเฟดคงจะเป็นการเน้นย้ำให้ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะมีการเริ่มลดวงเงิน QE ในสิ้นปีนี้ตามที่ตลาดรับรู้ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความตื่นตระหนกในตลาดและเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของเฟด โดยเฟดคงจะประกาศแผนลดวงเงิน QE ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งหน้าในเดือน พ.ย. และเริ่มลดวงเงิน QE ในเดือน ธ.ค. ที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ ต้องติดตามประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Dot Plot) ที่เฟดจะเผยแพร่ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับประมาณการเงินเฟ้อสูงขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอาจมีการปรับประมาณการการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าการแถลงประมาณการครั้งก่อนในเดือน มิ.ย.2564 ที่คาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 อย่างไรก็ดี เฟดคงจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจและด้านเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ประกอบกับใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร และหลีกเลี่ยงที่จะส่งสัญญาณการถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเร็วกว่าที่ควร เพื่อไม่ก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน
สำหรับผลกระทบต่อไทย หากเฟดประกาศการลดวงเงิน QE จะส่งผลให้แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และดอลลาร์สหรัฐกลับเป็นขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยและต้นทุนการกู้ยืมนั้นปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความเสี่ยงจากสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มที่จะกลับมาอ่อนค่าตามทิศทางแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ แต่หากเฟดยังไม่ประกาศการลดวงเงิน QE จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มที่จะผันผวนอย่างต่อเนื่อง