“ธนาคารกรุงไทย” พัฒนาบริการ QR Cross-Border Payment ร่วมกับ Network for Electronic Transfers (Singapore) Pte Ltd. (NETS) และบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ (NITMX) ภายใต้การสนับสุนจาก ธปท. ให้ลูกค้าสามารถชำระเงินข้ามประเทศด้วยการสแกน QR Code ที่ร้านค้าในเครือข่าย NETS และ PromptPay QR Code พร้อมเปิดให้เลือกชำระด้วย Krungthai Inter Wallet ทำให้ทุกการใช้จ่ายคุ้มค่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด เริ่มให้บริการ 22 กันยายนนี้
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ธนาคารประสบความสำเร็จในการพัฒนาบริการ QR Cross-Border Payment เพื่อให้บริการชำระค่าสินค้าและบริการข้ามประเทศระหว่างไทยและสิงคโปร์ ผ่านระบบ QR Code เป็นธนาคารแรกในประเทศ โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลธุรกรรมระหว่างประเทศ (Settlement Bank) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกลางประเทศสิงคโปร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระหว่างประเทศให้สามารถเชื่อมโยงภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาค โดยพัฒนาต่อยอดจากความสำเร็จในการพัฒนา QR Code มาตรฐานในประเทศไทย เพื่อให้การชำระเงินระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแผนงานด้านการชำระเงิน ซึ่งเป็น 1 ใน 5 Ecosystem หลักที่ธนาคารมุ่งยกระดับการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ การชำระเงินข้ามประเทศด้วย QR Cross-Border Payment มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย สามารถทำรายการผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศสิงคโปร์ได้ง่าย เพียงสแกน QR Code ของ NETS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรับชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลรายใหญ่ครอบคลุมกว่า 80% ของร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศสิงคโปร์ ขณะที่ลูกค้าของธนาคารในสิงคโปร์ที่เข้าร่วมบริการเช่น DBS, UOB และ OCBC สามารถใช้แอปพลิเคชันของธนาคารนั้นๆ เพื่อสแกน QR Code มาตรฐานของประเทศไทยในการชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยเช่นเดียวกัน ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้น และคุ้มค่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดเมื่อเลือกชำระด้วย Krungthai Inter Wallet โดยเริ่มเปิดให้ใช้บริการตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนนี้เป็นต้นไป
“ธนาคารเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะบริการด้านการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันคนไทยมีความคุ้นชินกับการชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน QR Code อยู่แล้ว จึงเชื่อมั่นว่าหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาสู่ภาวะปกติ และมีการเปิดประเทศมากขึ้น รวมทั้งการท่องเที่ยวระหว่างประเทศเริ่มทยอยฟื้นตัว จะส่งผลให้การใช้บริการ QR Cross-Border Payment ระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์เป็นไปอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และร้านค้าในการรับและจ่ายเงิน ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าได้ นับเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น”