นายวริศ บูลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัล บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมลงทุนเพิ่ม โดยการลงทุนที่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นการลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับเครือข่ายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในไตรมาส 3/64 ก่อนทำการเข้าประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น มีมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 70 ล้านบาท ผ่านการลงทุนในบริษัทฯ หรือบริษัทย่อยในประเทศไทย
ส่วนการลงทุนในอนาคตเพิ่มเติมภายหลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทจะทำการลงทุนในสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) ด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล สเตเบิลคอยน์ ประเภท USD Coin (USDC) อ้างอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐผ่าน Zipmex ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จำนวนไม่เกิน 150 ล้านบาท คาดจะเกิดขึ้นภายในเดือน พ.ย.64
ทั้งนี้ เนื่องจากขนาดรายการที่เข้าลงทุนดังล่าวจะทำให้วงเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีขนาดเพิ่มขึ้นเป็นเกินกว่า 50% เข้าข่ายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ บริษัทจึงต้องจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2564 เพื่อขอมติจากที่ประชุมในวันที่ 29 ต.ค.นี้
"สำหรับการลงทุนครั้งใหม่นี้จะเป็นการลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับเครือข่ายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือถ้าเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้น บริษัทฯ จะลงทุนขุดคริปโตเคอร์เรนซีด้วยตนเอง ซึ่งรายได้และกำไรจากการลงทุนยังถือว่ามีความผันผวนสูง แต่การลงทุนในครั้งนี้จะเป็น Pilot Project เพื่อหาโอกาสและช่องทางใหม่ให้แก่ลูกค้า ซึ่งนำไปสู่โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ในอนาคตที่จะเป็นแหล่งรายได้เสริมให้แก่บริษัทฯ
ส่วนที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อซื้อสเตเบิลคอยน์ จะนำไปลงทุนในโปรแกรมลงทุน ZipUP และ ZipLock ของ Zipmex เนื่องจากผลประโยชน์จากการฝากสินทรัพย์ผ่านโปรแกรมการลงทุนอยู่ที่ 11% ต่อปี ซึ่งมีผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของแบงก์ ทั้งนี้ บริษัทยังคงมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นโอกาสให้มีดีลที่ปรึกษารูปแบบใหม่ที่จะควบรวมการใช้คริปโตอยู่ด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อกระจายแหล่งรายได้ในอนาคตอีกด้วย" วริศ บูลกุล กล่าว
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผ่านมา บริษัทได้ซื้อสกุลเงินดิจิทัลและโทเคนดิจิทัลผ่านตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ 29 มีนาคม 2564 ถึง 31 สิงหาคม 2564 รวมมูลค่าลงทุน 1,225.59 ล้านบาท คิดเป็นขนาดการลงทุนสะสม 46.60% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อรวมการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับเครือข่ายสินทรัพย์ดิจิทัล มูลค่าไม่เกิน 70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนลงทุน 2% และการลงทุนในสเตเบิลคอยน์ไม่เกิน 150 ล้านบาท หรือมีขนาดรายการเท่ากับ 4.29% ซึ่งเมื่อนับรวมทุกรายการ ทำให้มีขนาดรายการลงทุนทั้งสิ้นรวม 52.89% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด