บัวหลวง มองภาพรวมการลงทุนต่างประเทศครึ่งหลังปี 2564 “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” น่าลงทุน หนุนด้วยตัวเลขจีดีพีที่ขยายตัวแข็งแกร่ง แนะลงทุนระยะยาว ด้วย “ธีม DEAL” พร้อมชวนหาจังหวะสะสม “หุ้นฮ่องกง” หลังปรับฐานลงมาอยู่ในจุดน่าสนใจ
นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาด 50.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลข ณ วันที่ 20 ส.ค.2564) ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยให้น้ำหนักการลงทุน 40% แม้ว่าปัจจุบันค่า P/E Ratio จะอยู่ระดับ 22 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่อยู่ระดับ 19.5 เท่า เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ เห็นได้จากตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2564 ที่เติบโต 6.5% กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 สอดคล้องกับ Bloomberg Consensus ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2564 จีดีพีสหรัฐฯ อาจขยายตัวประมาณ 6.5%
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปก่อสร้างถนน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงการมอบเงินเยียวยาโควิด-19 ให้คนอเมริกัน ล่าสุด “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้ทางการแต่ละรัฐมอบเงินให้ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 คนละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,300 บาท หวังกระตุ้นให้คนออกมาฉีดวัคซีนมากขึ้น หลังโควิด-19 สายพันธุ์เดลตากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
“ช่วงนี้อาจเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยระหว่างทางอาจมีพักฐานได้ราว 5-10% ก่อนปรับตัวขึ้นต่อ หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปี อยู่ระดับต่ำ 1.2-1.3% บวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ที่เติบโต 40% และประชากรในสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มากกว่า 50% อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ต้องจับตาการประชุมที่ Jackson Hole ในวันที่ 26-28 ส.ค.2564 และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ว่า Fed จะยังส่งสัญญาณลด QE ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า รวมถึงทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดี แม้อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในบางรัฐ” นายรัฐศรัณย์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำลงทุนระยะยาวด้วย “ธีม DEAL” ซึ่งเป็นธีมใหญ่ของโลก ประกอบด้วย 1.Digitalization เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูล (Data) เทคโนโลยี และการชำระเงินผ่านออนไลน์ โดยหุ้นที่อาจได้ประโยชน์ เช่น หุ้น Visa Inc. (V) บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินระดับโลก และ หุ้น S&P Global Inc. (SPGI) ผู้ให้บริการข้อมูลทางด้านการเงิน รวมถึงการจัดอันดับเครดิต เป็นต้น 2.Environmental Protection เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นนโยบายหลักของ “โจ ไบเดน” เช่น กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 3.Aging Society ปัจจุบันสังคมผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นมาก ฉะนั้นเราจะเริ่มเห็นหลายประเทศมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้นเพื่อรองรับคนกลุ่มดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบสมาร์ทโฮม หรือระบบสมาร์ทซิตี เป็นต้น และ 4.Low interest ในยุคดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในระยะยาว เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้
นายรัฐศรัณย์ กล่าวถึงมุมมองการลงทุนใน “ตลาดหุ้นฮ่องกง” ว่า ถือเป็นอีกตลาดที่ควรหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นจีนและฮ่องกง เพื่อลงทุนระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% แม้ช่วงนี้อาจเห็นตลาดผันผวนสูงและอาจมี Downside อีกราว 5-10% หลังรัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา มาร์เกตแคปหุ้นเทคฯ จีนลดลง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ลงทุนโยกเงินไปซื้อหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ดันมาร์เกตแคปเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่เรามองว่า ประเด็นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมากนัก เพราะสิ่งที่รัฐบาลจีนทำคล้ายนโยบายประชานิยม ซึ่งจะส่งผลดีต่อประชาชนส่วนใหญ่ในระยะยาว โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีจีนปี 2564 ว่า จะยังเติบโตได้ประมาณ 7-8%
สำหรับหุ้น และ ETF เด่น ในตลาดหุ้นฮ่องกง แนะนำลงทุน 2 ตัวหลัก คือ 1.หุ้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หรือ HKEX (388) ที่อาจได้รับประโยชน์จากการที่บริษัทฯ จีน กลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้นแทนที่การจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ 2.Premia China STAR50 ETF (3151 HK) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี STAR 50 หุ้น A-share 50 ตัวบนกระดาน STAR ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เช่น SMIC ผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน หรือ Kingsoft Office ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และระบบคลาวด์ ฉายา Microsoft แห่งเมืองจีน คาดว่าการคุมเข้มของทางการจีนจะมีผลกระทบจำกัดต่อดัชนี STAR 50 โดยดัชนีสร้างผลตอบแทนได้ราว 10% นับจากต้นปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค.2564) ขณะที่ดัชนี Hang Seng TECH มีผลตอบแทนติดลบในช่วงเวลาเดียวกันจากแรงกดดันในการจัดระเบียบหุ้นกลุ่มนี้จากรัฐบาลจีน
“เวียดนามถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยให้น้ำหนักการลงทุน 20% หนุนด้วยเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง ดอกเบี้ยนโยบายที่มีโอกาสปรับลดลง และการมีนโยบายคุ้มครองเงินฝากเหมือนไทย ประเด็นเหล่านี้ทำให้คนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น เราแนะนำลงทุน DR “E1VFVN3001” ที่มีหลักทรัพย์รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทแรกในเวียดนาม โดยผู้ลงทุนไทยสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทย ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อย่างไรก็ดี สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนประมาณ 20%” นายรัฐศรัณย์ กล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อกระจายการลงทุนลดความเสี่ยงของพอร์ตสามารถเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศออนไลน์กับหลักทรัพย์บัวหลวงได้ที่ www.bualuang.co.th/globalinvesting โดยเรามีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมากประสบการณ์คอยอัปเดตสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฮ่องกง และเวียดนาม ผ่านรายงานข้อมูลการลงทุนต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ เป็นประจำทุกวัน ล่าสุดได้เปิด “บริการยื่นข้อมูลภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากการลงทุนในหลักทรัพย์สหรัฐฯ” ตัวช่วยรายงานภาษีเงินได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์สหรัฐฯ และช่วยลดหย่อนอัตราภาษี จากเงินปันผลที่ได้รับจากการถือหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ โดยลดลงจาก 30% เป็น 15% สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0-2618-1111