หุ้นนอนแบงก์ กลุ่มที่เน้นธุรกิจปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เมื่อต้นปีเป็นหุ้นกลุ่มดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ช่วงนี้ สถานการณ์ย่ำแย่ ราคาหุ้นเข้าสู่ขาลงเต็มตัว จนสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบปี
และแม้แต่น้องใหม่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR กำลังเอาตัวไม่รอด ราคาใกล้หลุดจอง
หุ้นกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถตัวใหญ่ประกอบด้วย บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และ TIDLOR ซึ่งเป็นหุ้นที่โดดเด่นในปีนี้
สิ้นปี 2563 ราคาหุ้น MTC ปิดที่ 59 บาท และปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนสร้างจุดสูงสุดในปีนี้ที่ 73.75 บาท ส่วน SAWAD ราคาปิดที่ 63.75 บาท ก่อนปรับตัวขึ้น และสร้างจุดสูงสุดในปีนี้ที่ 94.75 บาท
ขณะที่ TIDLOR เพิ่งเข้ามาซื้อขายเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ราคาจอง 36.50 บาท แต่วันแรกที่เข้าซื้อขาย มีการไล่ราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 55.50 บาท ก่อนจะลงมาปิดที่ 45.75 แต่หลังจากนั้นก็เริ่มจะซึมลง และเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ลงมาปิดที่ 36.50 บาท หวิดจะหลุดจอง
เช่นเดียวกับหุ้น MTC ที่สร้างจุดต่ำสุดใหม่ในปีนี้ โดยวันที่ 13 สิงหาคมราคาปิดที่ 55.50 บาท และ SAWAD ซึ่งสร้างจุดต่ำสุดใหม่ โดยวันที่ 11 สิงหาคมปิดที่ 63.50 บาท
แม้ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของทั้ง 3 บริษัทยังดี มีกำไรเติบโต แต่เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการอาจไม่สดใส โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง จึงทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์และนอนแบงก์ถูกลดความน่าสนใจลง
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ลามถึงหุ้นแบงก์และนอนแบงก์ โดยนอกเหนือจากความกังวลหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแล้ว รัฐบาลยังมีนโยบายเยียวยาลูกหนี้รายย่อย ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ พักชำระหนี้ ขยายเวลาชำระหนี้ และลดดอกเบี้ย
นอกจากนั้นคณะกรรมการกำกับการทวงหนี้ ยังออกประกาศ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามนี้ โดยการทวงถามหนี้ทั่วไปรวมจำนำทะเบียนรถ กำหนดไม่เกิน 50 บาท กรณีลูกหนี้มีหนี้ค้างชำระ 1 งวด และไม่เกิน 100 บาท กรณีลูกหนี้ค้างชำระเกิน 1 งวด
และอัตราค่าทวงหนี้ภาคสนาม สินเชื่อเช่าซื้อรถ สำหรับการลงพื้นที่ กำหนดไม่เกิน 400 บาท
ผลประกอบการกลุ่มจำนำทะเบียนรถครึ่งปีแรกยังดีอยู่ โดย MTC มีกำไรสุทธิ 2,643.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 2,503.89 ล้านบาท SAWAD มีกำไรสุทธิ 2,467.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,015.14 ล้านบาท
ส่วน TIDLOR มีกำไรสุทธิ 1,560.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 982.02 ล้านบาท
แต่ผลประกอบการครึ่งปีหลัง อาจชะลอตัวลง เพราะผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของรัฐบาล และแนวโน้มปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นนอนแบงก์ทั้งกลุ่ม แม้ปัจจัยพื้นฐานปัจจุบันแข็งแกร่งก็ตาม
ค่า พี/อี เรโช MTC ประมาณ 18 เท่า SAWAD ประมาณ 22 เท่า และ TIDLOR ประมาณ 28 เท่า โดยรวมถือว่าค่า พี/อี เรโช ไม่สูงนัก แต่ผลประกอบการที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ได้ลบล้างความน่าสนใจหุ้นกลุ่มนี้ลง จนนำไปสู่การปรับฐานของราคาหุ้น
ถ้าเทียบจากจุดสูงสุดในปีนี้ ทั้ง MTC , SAWAD และ TIDLOR ราคาหุ้นทรุดลงมาแล้วประมาณ 30% ซึ่งถือว่าลงมาลึก
แต่จะลึกมากพอ หรือตอบรับปัจจัยลบที่กระหน่ำเข้าใส่หมดแล้ว จนน่าทยอยซื้อเก็บหรือไม่เท่านั้น