ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ กำไรสุทธิ 24.41 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 2,760 ล้านบาท จากกลยุทธ์เพิ่มจุดกระจายสินค้าภาคครัวเรือน ขยายช่องทางการขาย (Export) และรุกขยายกลุ่มลูกค้าที่มี Margin สูง ประเมินครึ่งปีหลังธุรกิจสดใสหลังลุยโซลาร์ รูฟท็อป พร้อมนำทัพลุยธุรกิจไม่ยั้ง ปั๊มผลงานเติบโตอย่างมีศักยภาพในระยะยาว
น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP) เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพและศักยภาพภายในองค์กร เพื่อสร้างกำไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเพิ่มจุดกระจายสินค้าภาคครัวเรือน รวมถึงเน้นขยายช่องทางการขาย (Export) และขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่มี Margin สูง ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 เติบโตอยู่ในทิศทางบวกได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยมีกำไรสุทธิ 24.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 43.86 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16.97 ล้านบาท
สำหรับรายได้รวมเท่ากับ 2,760.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 216.26 ล้านบาท หรือ 8.50% เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,543.95 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายและให้บริการเท่ากับ 2,702.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.61 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.85% อันเนื่องมาจากปริมาณการขายรวมของก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพิ่มขึ้นจาก 159,918 ตัน เป็น 167,393 ตัน เพิ่มขึ้น 7,475 ตัน หรือคิดเป็น 4.67% และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นกว่า 11% เนื่องจากบริษัทฯ สามารถเพิ่มยอดขายในกลุ่มอุตสาหกรรมได้ดีขึ้น โดยในกลุ่มนี้บริษัทฯ มีการให้บริการเพิ่มเติมในส่วนที่เหมาะสมกับที่ลูกค้าแต่ละรายต้องการ จึงทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และพยายามลดการขายในส่วนที่มีกำไรขั้นต้นต่ำ เช่น สถานีบริการก๊าซ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ โดยในครึ่งปีแรกของปี 2564 ส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์เวิล์ดแก๊สอยู่ที่อันดับ 2 หรือคิดเป็น market share 18%
“กำไรสุทธิ Q2 ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้น และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงควบคุมรายจ่าย และตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง อีกทั้งบริษัทฯ สามารถรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้ เนื่องมาจากการบริหารงานอย่างยืดหยุ่น เสาะหาตลาดและลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดมา ทำให้สามารถทำกำไรได้ดีแม้ว่าจะมีการระบาดอย่างหนักของสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน” น.ส.ชมกมล กล่าว
สำหรับแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง ประเมินว่าจะยังคงเติบโตในทิศทางบวกต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกตามความต้องการใช้ก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้หลักของบริษัทฯ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการขายอยู่ที่ 60% ของยอดขายรวมของบริษัทฯ และคาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังรับรู้รายได้จากการลงทุนในธุรกิจติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป) จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2564 และรับรู้รายได้เข้ามาทันที
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจก๊าซ LPG ไปในภาคครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจุดกระจายสินค้า รวมถึงหาช่องทางในการส่งออกเพิ่มมากขึ้น และมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ควบคู่กับการลดต้นทุนต่างๆ ที่ไม่จำเป็นลงเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างการเติบโตให้ธุรกิจต่อไปได้ในระยะยาว