โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) โดยการร่วมทุนระหว่าง "เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น-โกลบอลกรีนเคมิคอล" เดินหน้าสร้างนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ สอดรับกับนโยบายโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ของภาครัฐ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำร่องตามนโยบายมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ที่ภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub ของเอเชียภายในปี 2570 และเป็น Bio Hub แห่งแรกของประเทศ โดยดำเนินการภายใต้บริษัทร่วมทุนระหว่าง GGC และกลุ่ม KTIS ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ในนามบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บนเนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ ในตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2 มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าทางการเกษตร ต่อยอดสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง (High Value Added) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) โดยใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายอภิชาต นุชประยูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวภาพ กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS กล่าวว่า โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2 มีมูลค่าโครงการ 1,430 ล้านบาท ยังคงสัดส่วนร่วมลงทุน 50:50 ระหว่างกลุ่ม KTIS และ GGC โดย GKBI เป็นผู้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภค เช่น โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อป้อนไฟฟ้า รวมถึงระบบผลิตไอน้ำ ผลิตน้ำ บำบัดน้ำเสียให้โครงการของ NatureWorks โดยโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์นี้เป็นไบโอคอมเพล็กซ์แห่งแรกของประเทศไทยที่สอดรับกับแนวนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) อันเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อีกทั้งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจของชาวนครสวรรค์แต่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ
โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เป็นโครงการที่ก่อประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยในส่วนของภาคเศรษฐกิจนั้นจะมีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้เกษตรกรและแรงงานในพื้นที่ที่จะเข้ามาทำงานในโรงงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น ด้านสังคมทำให้แรงงานในชุมชนไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน ครอบครัวจะเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างงานสร้างรายได้ในภาวะที่แรงงานจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และในด้านสิ่งแวดล้อมจะเห็นได้ชัดเจนมากตั้งแต่กระบวนการผลิตของโรงงานหีบอ้อยและโรงงานเอทานอลที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทำให้ไม่เกิดของเสียออกสู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียหรือฝุ่นควันต่างๆ นอกจากนี้ ยังมี Carbon Credit และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะสร้างความมั่นใจในเรื่องของการลดมลพิษทั้งในไร่อ้อยและในโรงงานอีกด้วย
นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC กล่าวว่า “GGC มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ คือการเป็น Leading Green Company และ Green Flagship ของ GC Group การร่วมทุนดังกล่าวในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้บริษัทฯ สำหรับธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพและเพิ่มโอกาสในการลงทุนต่อยอดธุรกิจเคมีชีวภาพ (Biochemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) ในอนาคต ที่ก่อให้เกิดการสร้างประโยชน์ร่วมกันตลอดห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมชีวภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรของประเทศอย่างยั่งยืน
โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2 มีมูลค่าโครงการจำนวน 1,430 ล้านบาท โดย GKBI เป็นผู้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภค เช่น โครงการโรงไฟฟ้า Biomass เพื่อป้อนไฟฟ้า รวมถึงระบบผลิตไอน้ำ ผลิตน้ำ บำบัดน้ำเสีย ให้โครงการของ NatureWorks ซึ่งการเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานพลาสติกชีวภาพในครั้งนี้จะทำให้เกิดโรงงานพลาสติกชีวภาพแบบครบวงจรแห่งใหม่ในประเทศไทย ตอบสนองความต้องการใช้วัสดุที่ยั่งยืนให้ตลาดโลก นับเป็นหนึ่งในโครงการที่สนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG Economy Model (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (SDGs) ตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ต่อไปในอนาคต
โดย GGC เองมีโครงการลงทุนทางด้านเคมีชีวภาพอื่นๆ ที่จะลงทุนในโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่จะเติบโตในธุรกิจเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ ซึ่งพื้นที่นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์เปิดรับการลงทุนจากนักลงทุนอื่นๆ ที่สนใจลงทุนในธุรกิจชีวภาพต่างๆ ด้วยเช่นกัน”