นายนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ หัวหน้ากลยุทธ์องค์กร ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (ttb) เปิดเผยในงาน Opportunity Day ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ธนาคารยังคงเป้าหมายทางธุรกิจไว้ตามเดิม โดยเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อทรงตัวในระดับเดียวกับปีก่อน รวมถึงมี Cost to income ไม่เกิน 49% จากปัจจุบันที่ 47% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายจากการควบรวมบางส่วนที่เลื่อนตัดจ่ายในไตรมาส 2 ออกไปในช่วงครึ่งปีหลัง จึงน่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่น่าจะเกินเป้าที่ตั้งไว้ และมี Credit Cost ที่ 160-180% ซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอในระดับความเสี่ยงที่ประเมินไว้และจะยังติดตามอย่างต่อเนื่อง
ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มองไว้ที่ไม่เกิน 3.6% จากปัจจุบัน 2.89% โดยแนวทางในการบริหารจัดการเอ็นพีแอลนั้นในปีนี้อาจจะมีการตัดขายออกไปน้อยกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ไม่เอื้อ แต่ธนาคารได้จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ขึ้นมาแล้วเพื่อรองรับการตัดหนี้เสียออกไปบริหารจัดการ ซึ่งอาจจะดีกว่าการขายออกไปในราคาต่ำในช่วงนี้
"ในสภาวะที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางสูงอย่างนี้การขยายสินเชื่อทำได้ง่าย แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น สินทรัพย์จะกลับมาความเสี่ยงให้ธนาคารมากขึ้นหรือไม่ เราจึงเลือกที่จะระมัดระวัง และเลือกปล่อยสินเชื่อเพิ่มในกลุ่มที่เราเลือกแล้วว่ามีความเสี่ยงในระดับที่รับได้ ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการจัดชั้นลูกหนี้เพื่อให้กันสำรองอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเอ็นพีแอลขาขึ้นอย่างนี้ รวมถึงการช่วยเหลือและติดตามสถานการณ์ของลูกค้า โดยที่ผ่านมา ช่วงพีกๆ เรามีลูกค้าเข้ามาขอความช่วยเหลือประมาณ 40% แต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 14%"
สำหรับการควบรวมของธนาคารระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาตเสร็จสิ้นตามกำหนดที่วางไว้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้การบริหารจัดการทั้งด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของธนาคารดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นการผสานจุดเด่นของธนาคารทหารไทยที่มีผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ดีและมีต้นทุนที่ต่ำ ขณะที่ธนาคารธนชาตมีจุดเด่นที่ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ศักยภาพในการสร้างรายได้ รวมถึงเมื่อมีการควบรวมกันเสร็จสมบูรณ์แล้วทำให้ต้นทุนด้านสาขาที่มีความซ้ำซ้อนกัน และต้นทุนด้านพนักงานลดลงจากการโครงการ early retired โดยปัจจุบันธนาคารมีสาขา 664 สาขา จากเดิม 894 สาขา และมีจำนวนพนักงานลดลงกว่า 3,000 คน