"Bill Foster" สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายในการอนุญาติให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมคริปโตย้อนกลับไปยังต้นทางได้ หากธุรกรรม Crypto นั้นไม่ระบุตัวตน เพื่อป้องกันการฟอกเงิน ยาเสพติด และธุรกิจสีเทา หรือธุรกิจผิดกฏหมาย
bitcoin.com รายงานว่า นาย Bill Foster ตัวแทนสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฏหมายเพื่อตรวจสอบย้อนหลังของธุรกรรม Crypto ที่ไม่ระบุตัวตน โดยได้กล่าวถึงปัญหาของการโจมตี Ransomware และวิธีที่อาชญากรเรียกร้องในการข่มขู่ หรือ เรียกค่าไถ่เป็นสกุลเงินคริปโตเช่น Bitcoin แทนเงินสด โดยยังเน้นย้ำว่า มีความแตกต่างในด้านพื้นฐาน ระหว่างสินทรัพย์ Crypto และสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริง นั่นคือความแตกต่างที่สำคัญที่เราต้องทำในตัวบทกฎหมาย ยังไม่นับรวมไปถึงธุรกรรมที่ใช้ฟอกเงินที่มาจากการค้ายาเสพติด อาวุธสงคราม หรือธุรกิจผิดกฏหมายอื่นๆ
อย่างไรก็ดีการผลักดันกฏหมายดังกล่าวนั้นเพื่อให้ศาลและ รัฐบาลกลางมีอำนาจในการออกคำสั่งในการระบุผู้ใช้ Crypto และเส้นทางย้อนกลับของการทำธุรกรรมใน Bitcoin หรือ Cryptocurrencies อื่น ๆ ได้ รวมถึงเงื่อนไขที่เราสามารถเรียกคืนคริปโตเคอเรนซีได้ เช่น ค่าไถ่ที่จ่ายให้กับอาชญากร โดยสังเกตว่าเป็นหนึ่งในการตัดสินใจขั้นพื้นฐานที่ต้องทำเกี่ยวกับสินทรัพย์คริปโต
ทั้งนี้กฎหมายจะต้องระบุว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้น ๆ ได้ไม่ว่ามันจะปกปิดตัวตนได้อย่างสมบูรณ์จริง ๆ นอกจากนี้ จะต้องมีศาล บุคคลที่สาม ที่คุณสามารถไปตรวจสอบเพื่อย้อนกลับธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงหรือการทำธุรกรรมที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้น
“ถ้ามีคนลากคุณเข้าไปในตรอกและเอาปืนจ่อหัวคุณแล้วบอกว่าให้เอาโทรศัพท์มือถือของคุณและโอน Bitcoin ทั้งหมดไปยังกระเป๋าเงินของมัน คุณจะแค่ถือว่าโชคไม่ดีหรือคุณจะไปที่ศาล เพื่อขอให้พวกเขาเปิดโปงพวกมัน” นอกจากนี้ ศาลสามารถทำได้หากพวกเขาตัดสินใจว่าธุรกรรมนั้นเป็นการฉ้อโกง อาชญากร หรือความผิดพลาด ซึ่งเชื่อว่าการทำให้สามารถเปิดเผยข้อมุลผู้ใช้ได้อย่างโปร่งใส และเปิดโปงอาชญากรที่มีเป้าประสงค์ต่อผู้ใช้สกุลเงินดิจิทัลได้ จะทำให้รัฐบาลและพลเมืองสหรัฐฯ หลบเลี่ยงการโจมตีจาก Ransomware ได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตามจากท่าทีของ Bill Foster แสดงออกมานั้น เป็นที่ฮือฮาต่อชุมชนผู้ใช้คริปโตไม่น้อย ขณะเดียวกันเขาก็โดนตำหนิและวิพากษ์วิจารย์อย่างรุนแรงจากชุมชนคริปโตที่ได้ยินคำพูดของเค้า บางคนก็บอกว่าเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่า Bitcoin ทำงานอย่างไร ขณะที่บางคนก็ตอบโต้ข้อกล่าวหาทางอาญาของฟอสเตอร์ โดยระบุว่าพวกเขา “ไม่ใช่อาชญากร” ซึ่งแนวคิดของเขานั้นมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้าน ซึ่งมองว่ามันจะเป็นประโยชน์ของการเชื่อมโยงธุรกรรมที่โปร่งใส ให้สามารถตรวจสอบตัวตนเจ้าของบัญชีได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ตรวจสอบและรับรองกันได้เพียงเฉพาะผู้ใช้คริปโตต่อผู้ใช้ด้วยกันเท่านั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ระบุตัวตนด้วยกันทั้งสิ้น