xs
xsm
sm
md
lg

พีซแอนด์ลีฟวิ่งยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 84 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พีซแอนด์ลีฟวิ่ง ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 84 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ซื้อที่ดิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 84,000,000 หุ้น คิดเป็น 20% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปใช้เพื่อเป็นเงินลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

พีซแอนด์ลีฟวิ่ง ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ทที่จังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้ชื่อโครงการ "บ้านป่าริมธาร" ต่อมาได้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่จังหวัดระยอง ชื่อ โครงการ "บ้านลมทะเล" และตั้งแต่ปี 45 เป็นต้นมา บริษัทได้เริ่มมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล โดยใช้ชื่อบ้านพัฒนาการ, The Exclusive, Cordiz, The Glamor, และ Cher

ณ วันที่ 31 มี.ค.64 บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการขาย 6 โครงการ และโครงการในอนาคต จำนวน 3 โครงการ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการ Cher บางขุนนนท์ เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้นและ 3 ชั้น โดยได้มีการซื้อที่ดิน พัฒนาระบบสาธารณูปโภค และก่อสร้างแล้วบางส่วน มูลค่าโครงการประมาณ 803.6 ล้านบาท คาดเริ่มเปิดขายในไตรมาส 3/64

โครงการ Cher Runway กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า เป็นบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ซึ่งได้ซื้อที่ดิน พัฒนาระบบสาธารณูปโภค และก่อสร้างบ้านแล้วบางส่วน มูลค่าโครงการประมาณ 673.2 ล้านบาท คาดเริ่มเปิดขายราวไตรมาส 4/64 และ โครงการ Cher งามวงศ์วาน-เจษฎาบดินทร์ ซึ่งได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และวางมัดจำแล้ว คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ราวไตรมาส 1/65 คาดว่าจะเริ่มเปิดขายประมาณไตรมาส 1/66

บริษัทแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.64 โดยมีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 336.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 336.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท

โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่มีกลุ่มครอบครัวศิริโสภณา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 165,743,100 หุ้น คิดเป็น 49.33% ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO จะลดลงหลือ 39.46%, กลุ่มครอบครัวเตชะไกรศรี 18,800,000 หุ้น คิดเป็น 5.60% จะลดลงเหลือ 4.48% นายชุมพล พรประภา 17,660,000 หุ้น คิดเป็น 5.26% จะลดลงเหลือ 4.20%

ผลประกอบการในปี 61-63 บริษัทมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 658.10 ล้านบาท 427.19 ล้านบาท และ 865.01 ล้านบาท ตามลำดับ โดยคิดเป็นสัดส่วน 98.87%, 99.40% และ 99.78% ของรายได้รวม ตามลำดับ กำไรสุทธิ 119.87 ล้านบาท 31.51 ล้านบาท และ 133.71 ล้านบาท ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิ เท่ากับ 18.01%, 7.33% และ 15.42% ตามลำดับ

สำหรับงวดไตรมาส 1/64 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.64 บริษัทมีรายได้ 215.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเริ่มเปิดขายบ้านโครงการใหม่ คือ Cher งามวงศ์วาน-ประชาชื่น ในเดือน ส.ค.63 และ Cher สุขสวัสดิ์-พุทธบูชา ซึ่งเริ่มเปิดขายในเดือนพ.ย.63 และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ต้นปี 64 รวมถึงการมียอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการอื่นๆ เพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการ Cher วัชรพล รวมถึงโครงการ The Glamor ซึ่งมีราคาขายค่อนข้างสูง
และกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 เท่ากับ 38.46 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 17.78% เพิ่มขึ้น 16.77 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77.28 จากไตรมาส 1/63 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคบางส่วนที่มีความต้องการในการซื้อคอนโดมิเนียมเปลี่ยนมาเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบมากขึ้น ประกอบกับการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นในปี 63 ซึ่งส่งผลให้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด และยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอีกด้วย ทั้งนี้บริษัทคาดว่าภายหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าวเริ่มคลี่คลาย กำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น รวมถึงการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำรองตามกฎหมายและสำรองอื่นๆ ในแต่ละปี


กำลังโหลดความคิดเห็น