"มีนาทรานสปอร์ต" คาดเข้า SET ภายในครึ่งหลังปี 64 หลัง ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.64 ที่ผ่านมา โดยมี บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งมีแผนเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 184 ล้านหุ้น
นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มีนาทรานสปอร์ต (MENA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามาถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในครึ่งปีหลังของปี 64 หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ของ MENA แล้วตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.64 ที่ผ่านมา โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
MENA มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 184 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของภายหลัง IPO เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายกองรถให้บริการ ทั้งรถบรรทุกแบบหัวลาก-หางพ่วง (Trailer),รถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) รวมถึงรถกึ่งพ่วง (หางลาก) โดยมีเป้าหมายขยายจำนวนรถอีก 30 คัน จากปัจจุบันขยายแล้วราว 10 คัน รวมถึงจะใช้ในการจ่ายคืนหนี้เงินกู้ 10-20 ล้านบาท และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ปัจจุบัน MENA มีจำนวนรถให้บริการ ประกอบด้วย รถมิกเซอร์ จำนวน 466 คัน รถเทรลเลอร์ 75 คัน และรถกึ่งพ่วง 105 คัน โดยปี 63 มีปริมาณการให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จกว่า 1.64 ลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็น 9.2% ของยอดผลิตคอนกรีตทั้งประเทศ และมีปริมาณการให้บริการของรถเทรลเลอร์ 20,990 เที่ยวต่อปี
กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ประกอบด้วย บริษัทปูนซีเมนต์ชั้นนำของประเทศ ได้แก่ บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด (INSEE) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง บริษัท เอเซียผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ จำกัด (BUA Concrete) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์เอเซีย และบริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
รวมถึงการขยายขอบเขตการให้บริการไปยังบริษัทผู้ผลิตท้องถิ่นอื่นๆ ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการขนส่งสินค้าให้แก่บริษัทปูนซีเมนต์ผงต่างๆ บริษัทวัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งการเป็นตัวแทนขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และเพื่อความครบวงจร
ธุรกิจขนส่งของบริษัทฯ มีจุดแข็งด้านศักยภาพการเติบโตสูง ได้รับประโยชน์จากงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ สอดรับนโยบายการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เนื่องจากรถขนส่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ขับเคลื่อนงานโครงการต่างๆ โดย MENA ถือเป็นผู้ประกอบการขนส่งที่ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่มีรถผสมคอนกรีตรองรับความต้องการของลูกค้าในงานโครงการขนาดใหญ่ได้อันดับต้นๆ ของประเทศ และยังถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในธุรกิจรถผสมคอนกรีตที่เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการ และความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทฯ
สำหรับภาพรวมผลประกอบการในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตรวา 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 614 ล้านบาท จากอัตราการใช้รถขนส่งในภาพรวมที่คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 90% และการเพิ่มจำนวนรถ รวมถึงโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของทางภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อวอลุ่มงานปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดงานที่มีโอกาสได้รับ ได้แก่ โครงการ EEC เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 กทม.-นครราชสีมา และโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมขยายกองยานรถมิกเซอร์ เพื่อรองรับการเติบโตของงานโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเมือง รวมถึงขยายธุรกิจขนส่งเข้าไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น สินค้าควบคุมอุณหภูมิ สินค้าเฉพาะทางต่างๆ และยังมองโอกาสเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจขนส่งที่มีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อเข้ามาต่อยอดการเติบโต และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้บริษัทในอนคต ซึ่งปัจจุบันก็มีการเจรจากับพันธมิตรในธุรกิจดังกล่าวบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด
ผลประกอบการในไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้ค่าขนส่ง รายได้ค่าบริการ รายได้จากการขาย และรายได้อื่นๆ 152.5 ล้านบาท ปรับลดลงราว 14.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 178.8 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากค่าขนส่งและค่าบริการในสัดส่วนอย่างน้อย 90% ของรายได้รวมทั้งหมด เนื่องจากค่าขนส่งและค่าบริการปรับขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งในไตรมาส 1/64 ราคาน้ำมันลดลงมากกว่าปีที่แล้วราว 10% และภาคก่อสร้างยังคงชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้จำนวนเที่ยวขนส่งลดลง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทก็มีมาตรการเข้ามารองรับกับสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขณะที่มีกำไรสุทธิ 10.1 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 13 ล้านบาท เนื่องด้วยการปรับตัวลดค่าใช้จ่าย ประกอบกับต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนหนี้อย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์โควิด-19 ยังคงมีอยู่ แต่อัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 63 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.7% และในไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 6.6%