สแกน อินเตอร์ แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 377.3 ล้านบาท โดยคิดเป็น EBITDA จำนวน 83.8 ล้าบาท เพิ่มขึ้น 46.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลผลักดันกำไรสุทธิใน Q1/2564 เท่ากับ 23.2 ล้านบาท เติบโต 774.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พลิกสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ปัจจุบัน
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยผลกำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างน่าชื่นชมนั้นเป็นผลจากที่บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในทุกภาคธุรกิจได้ทันและเข้ากับสถานการณ์ เน้นบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมมากขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมี EBITDA และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นโดดเด่นจากไตรมาสก่อนหน้า
โดยจากไตรมาสที่ 1/2564 ทุกประเภทธุรกิจของบริษัทส่งสัญญาณดีต่อผลการดำเนินงานภาพรวม เริ่มจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ รับรู้รายได้กว่า 257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% และมีกำไรขั้นต้นโตขึ้น 27.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องด้วยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV สูงขึ้น อีกทั้งภาคอุตสาหกรรมที่เคยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 เริ่มกลับมาฟื้นตัว และสามารถรับมือกับสถานการณ์การระบาดในระลอกนี้ได้ดีขึ้น จึงทำให้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติในภาพรวมดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับอุตสาหกรรม หรือ iCNG มีรายได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 51.5% จากไตรมาสก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังได้งานสัญญางานซ่อมบำรุงสถานีบริการก๊าซ NGV กับพันธมิตรรายใหญ่อย่างบริษัท ปตท. เมื่อปลายปี 2563 เข้ามาหนุนเป็นรายได้ที่ต่อเนื่องและมั่นคงให้ในกลุ่มธุรกิจอีกด้วย
อีกหนึ่งธุรกิจชูโรงที่ต้องกล่าวถึง นั่นคือ ธุรกิจด้านพลังงานที่ SCN เข้าไปลงทุนอย่าง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ เมืองมินบู ที่นอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศพม่า บริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรสูงถึง 15.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้ากว่า 10 ล้านบาท ทั้งยังได้รับเงินค่าไฟฟ้าจากรัฐบาลพม่าครบทุกงวดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้ามินบูเฟส 2-4 ตามแผนที่วางไว้ ถึงแม้จะมีการชะลอเล็กน้อยจากผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 และด้านบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด หรือ SAP ที่ดำเนินโครงการซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชนจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ได้จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก 1 โครงการ รวมเป็น 11 โครงการ กำลังการผลิตรวม 6 เมกะวัตต์ จากโครงการในมือทั้งหมดกว่า 19 เมกะวัตต์ และยังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อนักลงทุน
ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน โดยใน Q1/2564 ดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย โดยสัญญาซ่อมบำรุงรถเมล์ จำนวน 489 คัน สามารถทำรายได้ให้อย่างต่อเนื่องจากงานซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ บริษัทยังได้เริ่มดำเนินธุรกิจจำหน่ายอะไหล่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจยานยนต์
พร้อมทั้งผลักดันธุรกิจขนส่งให้เดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้บริษัททำรายได้จากธุรกิจขนส่งได้ดีกว่าไตรมาสก่อนหน้าถึง 7.5% ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมผลประกอบการให้บริษัทนับจากนี้
นอกจากนี้ SCN ยังมี 2 ธุรกิจน้องใหม่มาสร้างโอกาสด้านการเติบโตเพิ่มเติมคือ "บริษัท สแกน ไอซีที จำกัด" (SCAN ICT) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจการจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีการพัฒนาและขยายตัวอยู่เสมอในทุกภาคธุรกิจ ที่แม้จะเป็นธุรกิจน้องใหม่ในเครือ แต่ภายใน 3 เดือนหลังจัดตั้งก็สามารถทำผลงานได้อย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าสะสมรวมกว่า 100 ล้านบาท คาดการณ์ผลประกอบการรวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 600 ล้านบาท และล่าสุดกับการจัดตั้ง “บริษัท สแกน เมดิเฮิร์บ จำกัด” เพื่อมุ่งหน้ารุกธุรกิจกัญชง-กัญชา อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่การสกัด แปรรูป ไปจนถึงการจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากกัญชง-กัญชา
บริษัทตั้งมั่นบริหารจัดการทุกภาคส่วนธุรกิจให้ปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แข็งแกร่ง เพื่อหวังสร้างผลประกอบการที่น่าพอใจและมั่นคง แม้กระแส COVID-19 จะกลับมาแต่ SCN ไม่กลัว หากแต่พร้อมลุยหาโอกาสเข้าศึกษาเรียนรู้ ตลอดจนพัฒนาสู่ธุรกิจสายใหม่ๆ ที่จะสามารถเติบโตได้ดีในสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ปรับเปลี่ยนไป ซึ่งในไตรมาสที่ 1/2564 บริษัทเริ่มดำเนินงานมาได้อย่างดีแล้วในทุกด้าน และเราจะนำความแกร่งที่มีมาทำให้ปี 2564 ของ SCN โดดเด่นจนทุกคนต้องจับตามอง