นักลงทุนผวาโควิด-19 ลามไม่หยุด ตื่นตระหนกเทขายหุ้นก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ กดดัชนีร่วงหนัก 25 จุด ปิดที่ 1,541.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.82 หมื่นล้านบาท นักวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มหุ้นไทยฟื้นช้ากว่าตลาดโลก พร้อมแนะติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างใกล้ชิด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยประจำวันที่ 12 เม.ย.2564 นักลงทุนกังวลการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดขยายเป็นวงกว้าง ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า แม้จะมีแรงซื้อเข้ามารองรับบ้าง แต่ไม่สามารถต้านแทนแรงเทขายที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเป็นช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ นักลงทุนทยอยขายหุ้นเพื่อถือเงินสด ส่งผลให้ดัชนีภาคบ่ายยังคงปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้า
โดยดัชนีปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,539.24 จุด สูงสุดที่ 1,562.07 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,542.12 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 25.22 จุด หรือคิดเป็น 1.61% มูลค่าการซื้อขายรวม 78,223.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,317.79 ล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,510.53 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 765.05 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 5,602.37 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาปิด 138.50 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 3.15% มูลค่าการซื้อขาย 2,528.63 ล้านบาท บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาปิด 63.75 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 1.54% มูลค่าการซื้อขาย 2,051.52 ล้านบาท และบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ราคาปิด 22.20 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.45% มูลค่าการซื้อขาย2,024.38 ล้านบาท
ด้านตลาดหุ้นเอเชียสำคัญๆ ต่างปรับตัวลดลงถ้วนหน้า จากปัจจัยลบจากเรื่องของโควิด-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน โดยตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิปิดที่ 29,538.73 จุด ลดลง 229.33 จุด หรือ 0.77% ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ 28,453.28 จุด ลดลง 245.52 จุด หรือ 0.86% ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,412.95 จุด ลดลง 37.73 จุด หรือ 1.09% ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ที่ดัชนีคอมโพสิต (KOSPI) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ปิดที่ 3,135.59 จุด เพิ่มขึ้น 3.71 จุด หรือ 0.12%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศระลอกใหม่ ถือเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เร่งตัวขึ้นทำสถิติรายวันสูงสุดใหม่ และกระจายตัวไปในหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังสถานการณ์นี้ไปจนถึงช่วงหลังสงกรานต์
อย่างไรก็ตาม การระบาดในระลอกนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อยกว่าการระบาดระลอก 2 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม 2563 ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยสาเหตุที่ทำให้ บล.ทิสโก้คาดว่าผลกระทบรอบนี้จะน้อยกว่ารอบที่ผ่านมา จากระบบสาธารณสุขไทย รวมทั้งประชาชนมีประสบการณ์และได้เรียนรู้จากการระบาดตลอดช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่ายังสามารถรับมือได้ดีทั้งในแง่ของการควบคุมการแพร่ระบาดและการรักษาพยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์และบุคคลกลุ่มเสี่ยงเริ่มได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว น่าจะลดการสูญเสีย และทำให้ระบบสาธารณสุขไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ และ 3.ความรุนแรงของโรคลดลง สังเกตได้จากอัตราการเสียชีวิตของไทยในปัจจุบันอยู่ต่ำเพียง 0.3% เท่านั้น ขณะที่การระบาดใหม่ๆ ในช่วงต้นปี และในสิ้นปีที่แล้วที่มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 2-3% และ 1.4% ตามลำดับ
"การปรับตัวลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากการระบาดระลอกนี้ไม่น่ารุนแรงเหมือนรอบก่อนหน้า โดยมองว่าที่ดัชนีหุ้นไทยในระดับ 1,530-1,550 จุด เป็นจังหวะเหมาะสมที่จะซื้อหุ้นคืน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บล.ทิสโก้ได้แนะนำทยอยแบ่งขายในช่วงที่หุ้นไทยเข้าใกล้ระดับ 1,600 จุด ส่วนโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นนั้น บล.ทิสโก้ไม่คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะฟื้นตัวได้เร็ว และคาดจะแกว่งตัวในทิศทางที่ “Underperform” กว่าหุ้นโลกไปสักพัก จนกว่าจะมีความชัดเจนของสถานการณ์ระบาดช่วงหลังสงกรานต์ จะกระทบต่อแผนการทยอยเปิดประเทศหรือไม่ และเชื่อว่านักลงทุนจะรอติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกด้วย" นายอภิชาติ กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนจึงทยอยขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงหยุดยาวก่อนเทศกาลสงกรานต์ที่อาจจะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น จากการเดินทางกลับภูมิลำเนา และฉลองในช่วงหยุดยาว ขณะที่แนวโน้มการลงทุนนั้น นักลงทุนยังคงต้องติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,520 จุด และแนวต้าน 1,550 จุด