บมจ.อ็นเอสแอล ฟู้ดส์ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ราวกลางเดือน พ.ค.64 โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน หวังระดมทุนขยายกิจการต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้เติบโตแตะระดับ 6 พันล้านบาทในปี 69 จากปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ราว 3.5 พันล้านบาท ตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อฟื้น และแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่
นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ NSL เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนใน SET โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของบริษัท ภายในช่วงกลางเดือน พ.ค.64 เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ บริษัทประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายแซนด์วิชอบร้อน เบเกอรี ขนมขบเคี้ยว นำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง ก่อตั้งขึ้นในปี 49 ด้วยแนวทางการดำเนินงานในรูปแบบ "The Happy Taste Creator" สู่การขยายพอร์ตธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์ "Nutrition Sustainable for Life" คือการผลิตอาหารที่มีคุณค่าสูงอย่างยั่งยืนด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ก้าวหน้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค
ปัจจุบัน ธุรกิจหลักคือการเป็นผู้ผลิตแซนด์วิชอบร้อนอันดับหนึ่งให้แก่ร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN ทั่วประเทศกว่า 12,000 สาขาทั่วประเทศ ในหมวดเบเกอรีมากกว่า 40 รายการ ซึ่งปัจจุบัน มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,250,000 ชิ้นต่อวัน นอกเหนือจากแซนด์วิชอบร้อนและผลิตภัณฑ์เบเกอรีที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น ยังมีสินค้าในหมวดอื่นๆ เช่น ขนมปังเนื้อนุ่มและขนมปังโฮลวีท ภายใต้แบรนด์ "Bakery Arigato" จำหน่ายในท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตและแฟมิลี่มาร์ท "Natural Bites"ขนมเพื่อสุขภาพ "ChiLee" ขนมพริกกรอบ "Pangtai" พายแท่งและขนมปังกรอบ
นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เจาะเข้าเชนร้านอาหาร โรงแรมและซูเปอร์มาร์เกต ด้วย
ด้านนายอัครเดช เลี่ยมเจริญ ผู้อำนวยการด้านบัญชีและการเงิน กล่าวว่า สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ รองรับแผนการขยายกำลังการผลิตสำหรับโครงการใหม่ ในการก่อสร้างอาคารโรงงานแห่งใหม่และเครื่องจักรภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี มูลค่าประมาณ 350 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตรองรับรายได้สูงสุด 1,200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหากความต้องการของตลาดในปี 64 มีความชัดเจน บริษัทก็จะเริ่มลงทุนทันทีในปี 65 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 66 รองรับการผลิต 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ 1.อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน เช่น ซุป อาหารแช่แข็ง และซอสต่างๆ 2.อาหารพร้อมรับประทานแบบไม่ต้องแช่เย็น เช่น แกงและกับข้าว และ 3.อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น โจ๊กคัพ และซุป เป็นต้น
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 16% หรือมีรายได้ 3,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่บริษัทมีรายได้ 2,927 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น และบริษัทยังมีแผนการที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์สำหรับจำหน่ายในร้าน 7-ELEVEN และจำหน่ายสินค้าให้กลุ่มที่นอกเหนือร้าน 7-ELEVEN ด้วย ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 69 จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 6,000 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายนอก 7-ELEVEN เพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 10% โดยเป็นการพัฒนาสินค้าร่วมกันระหว่าง Central และ FamilyMart ที่จะมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการมีรายได้ 7-ELEVEN เป็นสัดส่วนมาก
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50.0% ของกำไรสุทธิอย่างไรก็ตาม NSL อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ โดยจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ฐานะการเงิน สภาพคล่องทางการเงิน ความจำเป็นในการใช้เงินเพื่อบริหารกิจการ และขยายธุรกิจของ NSL Foods รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น