"ทรีนีตี้" ชี้ชัดธีมการลงทุนหุ้นไตรมาส 2 แนะหุ้น 5 กลุ่ม พี/อีต่ำกว่า 15 เท่า ราคาต่อมูลค่าบัญชีต่ำกว่า 2 เท่า มองหุ้นเดือน เม.ย.อยู่ในภาวะอึดอัด ขึ้นยาก-ลงยาก หุ้นมูลค่ายังเป็นพระเอกจากทิศทาง Bond yield ขาขึ้น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 ว่า ทางทรีนีตี้ได้คัดเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุน โดยเป็นกลุ่มที่มีพี/อี ต่ำกว่า 15 เท่า และมีราคาต่อมูลค่าบัญชีต่ำกว่า 2 เท่า ซึ่งมีทั้งสิ้น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มเกษตร กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มประกัน ซึ่งการวิเคราะห์ได้ย้อนกลับไปในอดีตที่ยังพบด้วยว่า หุ้นทั้ง 5 กลุ่มนี้นั้นยังมีพี/อีต่ำกว่า หรือใกล้เคียงค่าเฉลี่ยอีกด้วย จึงมองว่าหุ้นทั้ง 5 กลุ่มนี้สามารถเป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนในเดือน เม.ย.และต่อเนื่องได้ตลอดไตรมาส 2
“รายชื่อหุ้นที่น่าลงทุนใน 5 กลุ่มที่พิจารณาจากการเติบโตของกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1 ปี 64 กับงวดเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ในส่วนของกลุ่มแบงก์แนะนำธนาคารเล็กคือ TISCO ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์แนะนำ AH ซึ่งแนวโน้มกำไรปีนี้เติบโตสูง กลุ่มเกษตร แนะนำ STA และ STGT ซึ่งสินค้ายางธรรมชาติและถุงมือยางของเรานั้นยังคงส่งออกได้ดี ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างแนะนำ SCC ที่ได้ประโยชน์จากสเปรดปิโตรเคมีในระดับสูง ในขณะที่กลุ่มประกันภัยถือว่าเป็นกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากบอนด์ยิลด์อยู่ในภาวะที่ยังปรับตัวสูงขึ้น” นายณัฐชาต กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่ทางทรีนีตี้คาดการณ์ว่าจะถูกนำเข้าคำนวณดัชนีสำคัญในช่วงถัดไป อย่างเช่นดัชนี MSCI ที่จะมีการทบทวนในเดือน พ.ค. ซึ่งในส่วนนี้คาดว่า SCGP จะเป็นตัวเก็งหลัก ในขณะที่ดัชนี SET50 ประจำงวดครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าหุ้นที่จะถูกนำเข้าคำนวณคือ STGT, IRPC และ STA ซึ่งหากนักลงทุนต้องการเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าไปคำนวณในดัชนีเหล่านี้ จังหวะที่เหมาะสมก็คือช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้าที่จะมีการประกาศ ซึ่งก็ตรงกับช่วงเวลานี้พอดี
นายณัฐชาต กล่าวถึงการลงทุนในช่วงเดือน เม.ย.ว่า ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในภาวะที่อึดอัด การปรับตัวขึ้นอย่างสำคัญจะมีความยากจาก Valuation ที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการปรับฐานรุนแรงก็ยังเกิดได้ยากจากสภาพคล่องทั้งภายในและภายนอกที่ยังคงเอ่อล้น ด้วยเหตุนี้กลยุทธ์เดือน เม.ย.จึงแนะนำให้ Selective หุ้น ดังนี้คือ 1.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Reopening และมี Valuation ที่ถูก เช่น หุ้นน้ำมัน คือ OR, PTG กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BCH, IMH 2.กลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและเงินบาทอ่อนค่า เช่นยานยนต์ AH และกลุ่มอาหาร CPF,TU 3.กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะรายได้กำไรออกมาดี เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้ารวมถึงอัตราปันผลเกิน 3% ขึ้นไป ADVANC, EGCO, PTT, QH, SCC 4.กลุ่มลุ้นเข้า MSCI ได้แก่ SCGP 5.กลุ่มลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ STGT, IRPC, STA