ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ภาคเอกชน เสนอ 2 มาตรการใหม่เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจให้พร้อมรับมือกับโลกยุคหลังโควิด-19 และอุดช่องโหว่ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูวงเงิน 2.5 แสนล้านบาท มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาท คาดสามารถดำเนินการได้ในเดือนพฤษภาคมนี้
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 กว่าจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้ในไตรมาส 3 ปี 2565 โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว เช่น กลุ่มท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งมีการจ้างงานสูงกว่า 10 ล้านคน และต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาด สถานการณ์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและยังมีความไม่แน่นอนสูงดังกล่าวทำให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น รวมถึงบางส่วนที่มีหนี้เดิมค้างชำระอยู่อาจมีข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ยังไม่สามารถประเมินรายได้และกระแสเงินสดได้
การให้ความช่วยเหลือเยียวยาระยะสั้นของภาครัฐแก่ลูกหนี้ในปัจจุบัน ผ่าน “พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 (พ.ร.ก.Soft Loan)” ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 จึงยังไม่เพียงพอรองรับสถานการณ์ที่ยาวนานกว่าที่คาดไว้ ธปท. และกระทรวงการคลังเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการออกมาตรการทางการเงินเพิ่มเติม โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อร่าง “มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการฟื้นฟูฯ)” วงเงินรวม 350,000 ล้านบาท มีระยะเวลาเบิกเงินกู้ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ และขยายต่ออายุได้อีก 1 ปีหากมีเหตุจำเป็น
มาตรการฟื้นฟูฯ นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพให้สามารถประคับประคองกิจการ พยุงระดับการจ้างงาน และมีโอกาสในการฟื้นฟูศักยภาพ รองรับโลกยุคหลังวิกฤตโควิด-19 โดยออกแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความเสี่ยงในปัจจุบัน และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้รองรับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงครอบคลุมการแก้ปัญหาให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีความจำเป็นต่างกันในแต่ละภาคธุรกิจ โดยในการจัดทำมาตรการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน และภาคเอกชน เช่น หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและสอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจำแนกมาตรการเป็น 2 หมวด ตามลักษณะปัญหาที่ต่างกัน ดังนี้
1.มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท มุ่งเน้นให้สถาบันการเงินส่งผ่านสภาพคล่องดังกล่าวแก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังมีศักยภาพ ซึ่งได้ปรับปรุงข้อจำกัดจากมาตรการครั้งที่แล้ว โดยขยายขอบเขตลูกหนี้ให้ครอบคลุมทั้งลูกหนี้รายเดิมและลูกหนี้รายใหม่ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น พร้อมกับรองรับการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลาด้วยการปรับเพิ่มวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ขยายระยะผ่อนชำระให้ยาวขึ้น และกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เอื้อต่อการฟื้นฟูกิจการยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ภาครัฐยังสนับสนุนกลไกการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ ธปท. สนับสนุนสภาพคล่องต้นทุนต่ำแก่สถาบันการเงินเพื่อให้เกิดการส่งผ่านสภาพคล่องไปยังกลุ่มเป้าหมาย
2.มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท มุ่งเน้นในการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว แต่ยังมีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเพื่อหยุดหรือลดภาระหนี้ภายใต้เงื่อนไขสัญญามาตรฐานที่กำหนด เช่น ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์คืนเป็นลำดับแรกในราคาต้นทุน ภายในระยะเวลา 3-5 ปี เท่ากับราคาตีโอนบวกด้วยต้นทุนการถือครองทรัพย์ (carrying cost) ร้อยละ 1 ต่อปีของราคาตีโอน และต้นทุนในการดูแลรักษาทรัพย์ตามที่จ่ายจริงและสมควรแก่เหตุ โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอเช่าทรัพย์กลับมาดูแลหรือเปิดดำเนินการและสถาบันการเงินจะนำค่าเช่าที่ได้รับไปหักออกจากราคาที่ขายคืนทรัพย์ให้แก่ลูกหนี้ เพื่อช่วยรักษาโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์ (fire sale) สามารถกลับมาสร้างงานและทำรายได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ทั้งนี้ ธปท. ให้การสนับสนุนสภาพคล่องต้นทุนต่ำแก่สถาบันการเงินเท่ากับมูลค่าทรัพย์ที่สถาบันการเงินและลูกหนี้แต่ละรายตกลงร่วมกัน และภาครัฐสนับสนุนยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีและค่าธรรมเนียมในการตีโอนทรัพย์ ทั้งขารับโอนและขายคืนให้แก่ลูกหนี้รายเดิม
ในการให้ความช่วยเหลือภายใต้มาตรการฟื้นฟูฯ ได้คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรทั้งของภาครัฐและเอกชนให้เกิดประสิทธิผลและมีประโยชน์สูงสุด โดยสภาพคล่องจะถูกส่งผ่านไปยังกลุ่มลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ รักษาการจ้างงาน พัฒนาทักษะแรงงานและปรับรูปแบบธุรกิจให้กลับมาสร้างรายได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ ธปท. และภาครัฐยังมีนโยบายลักษณะอื่นเพื่อรองรับความต้องการที่ต่างกัน เช่น กลุ่มรายย่อยที่ขาดสภาพคล่องชั่วคราว ภาครัฐมีนโยบายเสริมสภาพคล่อง โดยเพิ่มรายได้ผ่านโครงการต่างๆ สำหรับกลุ่มที่ต้องแก้ไขหนี้เดิม มีมาตรการพักหนี้ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อเร่งบรรเทาปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว นอกจากนี้ ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การปรับฐานและอัตราการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและมีปัญหาในการชำระหนี้ เพื่อช่วยลดภาระและสร้างความเป็นธรรมในการใช้บริการทางการเงินของประชาชน รวมถึงลดการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบการเงิน
ที่ผ่านมา ภาครัฐ สถาบันการเงินในฐานะเจ้าหนี้ และสมาคมหรือสภาต่างๆ ในฐานะลูกหนี้ ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการพิจารณาถึงรูปแบบของมาตรการที่เน้นสนับสนุนให้เกิดการส่งผ่านความช่วยเหลือตามกลไกตลาด และประสานประโยชน์ร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและบริบทของเศรษฐกิจไทย ซึ่งทุกฝ่ายมีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการนี้ โดยธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศจะเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจให้กลับฟื้นตัวและแข่งขันได้ เช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและตอบสนองนโยบายของรัฐในการลดช่องว่างทางการเงิน นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพแต่ยังได้รับผลกระทบ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการฟื้นฟูฯ เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และพร้อมกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แข็งแรง และแข่งขันได้ ทั้งนี้ คาดว่า มาตรการฟื้นฟูฯ จะเริ่มดำเนินการได้เร็วที่สุดภายหลังแล้วเสร็จตามขั้นตอนการออกกฎหมาย คาดว่าจะดำเนินมาตรการได้ในเดือนพฤษภาคมนี้