บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK เผย "วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ" ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขายบิ๊กล็อต 952 ล้านหุ้น คิดเป็น 8% หลังทำรายการยังถือหุ้นสูงถึง 71.2% โดยกระจายให้นักลงทุนสถาบันในไทยและต่างประเทศ ล้วนเป็นพัธมิตรที่แสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุนเพราะเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคต ด้านบิ๊กบอส "ชนินทร์ เย็นสุดใจ" ระบุช่วยหนุนเรื่องเพิ่ม Free Float แตะระดับประมาณ 30% พร้อมเดินหน้ารุกขยายธุรกิจตามแผน ตั้งเป้าปีนี้รายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 15-20% มุ่งเน้นกลยุทธ์ High margin ดันผลงานนิวไฮต่อเนื่อง
นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ทำรายการขายหุ้นบนกระดานรายใหญ่ (Big lot) จำนวน 952,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 8% อย่างไรก็ตาม ภายหลังการขายหุ้นดังกล่าวยังคงเหลือสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 70% และเมื่อร่วมกับ Stark Investment Corporation Limited
ทั้งนี้ หุ้นดังกล่าวดำเนินการผ่านบริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด จะแบ่งจัดสรรให้แก่พันธมิตร ได้แก่ นักลงทุนสถาบันในประเทศประมาณ 40% สถาบันต่างประเทศประมาณ 50% และนักลงทุนรายใหญ่
"การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ตัดสินใจขายหุ้นบิ๊กล็อต เนื่องจากที่ผ่านมา มีนักลงทุนสถาบันในประเทศไทยและต่างชาติแสดงความสนใจขอเข้าร่วมลงทุนจำนวนมาก ด้วยมองเห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ STARK เพราะอุตสาหกรรมสายไฟฟ้า และสายเคเบิลมีแนวโน้มการเติบโตระดับสูง จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นทั่วโลก และบริษัทฯ มีศักยภาพการทำกำไรที่ดี นอกจากนี้ ยังผลักดันให้ Free Float เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 20% เพิ่มเป็นประมาณ 30% จะส่งผลให้เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น
ประธานกรรมการ กล่าวอีกว่า การทำรายการบิ๊กล็อตในครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารงาน ตลอดจนนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใดและมั่นใจว่าพันธมิตรที่ร่วมลงทุนในครั้งนี้จะถือลงทุนในระยะยาว เนื่องจากต้องการเติบโตไปพร้อมกับ STARK
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 15-20% และมั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High margin โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ (Medium - Extra High Voltage) ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงตามจำนวนโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชนที่มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 8,400 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ การเข้าไปลงทุนประเทศเวียดนามในปีที่ผ่านมา สามารถสร้างมูลค่าให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะบุกตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษี จึงเป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ มีความต้องการใช้สายไฟฟ้า และเคเบิลคุณภาพสูงจำนวนมาก
โดยบริษัทฯ คาดว่าจะใช้โรงงานในเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปรวมถึงหาโอกาสใหม่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งในปีนี้มีเป้าหมายสัดส่วนรายได้การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 10-12% จากเดิม 8% โดยคาดว่าจะมีการส่งออกไปยัง 50 ประเทศ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตขององค์กรอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อไป